กรรมฐาน 2

กรรมฐาน 2
กรรมฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งการงาน หรือ อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการงาน หมายถึง อุบายวิธีสำหรับการฝึกจิตเพื่อให้เหมาะแก่การงาน ซี่งการงานในที่นี้หมายถึงงานคือการกำจัดกิเลสเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จของงานคือความพ้นทุกข์ แบ่งตามวิธีการฝึกออกเป็น 2 ประการ คือ
- สมถกรรมฐาน กรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ
- วิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา
สมถกรรมฐาน
สมถกรรมฐาน กรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ คือการเจริญกรรมฐานที่เนื่องด้วยบริกรรมอย่างเดียว เป็นการบำเพ็ญเพียรทางจิตโดยใช้สติเป็นหลัก
ตามธรรมดาจิตของบุคคลย่อมฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ เมื่อจิตฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ก็จะไม่สามารถสงบลงได้
อุบายอย่างหนึ่งอันเป็นเครื่องสงบระงับจิตไม่ให้ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ก็คือการใช้สติยึดเอาอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วบริกรรม โดยทำไว้ในใจจนจิตแนบแน่นในอารมณ์เดียว สามารถระงับนิวรณ์ได้ เป็นจิตมีอารมณ์เลิศเป็นหนึ่ง เรียกว่า เอกัคคตา
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค จำแนกอารมณ์สมถกรรมฐานไว้ 40 อย่าง ประกอบด้วย
- กสิณ 10
- อสุภะ 10
- อนุสสติ 10
- พรหมวิหาร 4
- อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1
- จตุธาตุววัตถาน 1
- อรูป 4
ผลสูงสุดที่จะได้จากการเจริญสมถกรรมฐาน คือ สามารถระงับนิวรณ์ 5 ได้ ทำให้จิตสงบเป็นสมาธิ ได้สมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4
วิปัสสนากรรมฐาน
วิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา เป็นการฝึกจิตให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรมทั้งปวง เพื่อให้จิตคลายอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย และหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส
เมื่อฝึกวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดปัญญารู้แจ้งในสภาวธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง โดยมาพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งล้วนตกอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ คือ เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นมาแล้วดับไป เป็นทุกข์ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
เมื่อพิจารณาได้ดังนี้ จิตก็จะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ไม่ยึดมั่นถือมั่น และหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสได้ในที่สุด
ผลสูงสุดที่พึงหวังได้จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็คือ การบรรลุอรหัตตผล สำเร็จเป็นพระอรหันต์ กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา