กรรมฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งการงาน หรือ อารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการงาน หมายถึง อุบายวิธีสำหรับการฝึกจิตเพื่อให้เหมาะแก่การงาน ซี่งการงานในที่นี้หมายถึงงานคือการกำจัดกิเลสเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จของงานคือความพ้นทุกข์ แบ่งตามวิธีการฝึกออกเป็น 2 ประการ คือ
- สมถกรรมฐาน กรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ
- วิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา
สมถกรรมฐาน
สมถกรรมฐาน กรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ คือการเจริญกรรมฐานที่เนื่องด้วยบริกรรมอย่างเดียว เป็นการบำเพ็ญเพียรทางจิตโดยใช้สติเป็นหลัก
ตามธรรมดาจิตของบุคคลย่อมฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ เมื่อจิตฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ก็จะไม่สามารถสงบลงได้
อุบายอย่างหนึ่งอันเป็นเครื่องสงบระงับจิตไม่ให้ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ก็คือการใช้สติยึดเอาอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วบริกรรม โดยทำไว้ในใจจนจิตแนบแน่นในอารมณ์เดียว สามารถระงับนิวรณ์ได้ เป็นจิตมีอารมณ์เลิศเป็นหนึ่ง เรียกว่า เอกัคคตา
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค จำแนกอารมณ์สมถกรรมฐานไว้ 40 ประการ ประกอบด้วย
- กสิณ 10
- ปฐวีกสิณ กสิณคือดิน
- อาโปกสิณ กสิณคือน้ำ
- เตโชกสิณ กสิณคือไฟ
- วาโยกสิณ กสิณคือลม
- นีลกสิณ กสิณคือสีเขียวคราม
- ปีตกสิณ กสิณคือสีเหลือง
- โลหิตกสิณ กสิณคือสีแดง
- โอทาตกสิณ กสิณคือสีขาว
- อาโลกกสิณ กสิณคือแสงสว่าง
- อากาสกสิณ กสิณคือที่ว่างเปล่า
- อสุภะ 10
- อุทธุมาตกะ ซากศพที่เน่าพองขึ้นอืด
- วินีลกะ ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำคละด้วยสีต่างๆ
- วิปุพพกะ ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มอยู่ตามที่ที่แตกปริออก
- วิจฉิททกะ ซากศพที่ขาดจากกันเป็น 2 ท่อน
- วิกขายิตกะ ซากศพที่ถูกสัตว์จิกทึ้งกัดกินแล้ว
- วิกขิตตกะ ซากศพที่กระจุยกระจาย มือเท้าศีรษะหลุดออกไปข้างๆ
- หตวิกขิตตกะ ซากศพที่ถูกสับฟันบั่นเป็นท่อนๆ กระจายออกไป
- โลหิตกะ ซากศพที่มีโลหิตไหลอาบเรี่ยราดอยู่
- ปุฬุวกะ ซากศพที่มีหนอนคลาคล่ำเต็มไปหมด
- อัฏฐิกะ ซากศพที่ยังเหลืออยู่แต่ร่างกระดูกหรือกระดูกท่อน
- อนุสสติ 10
- พุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระองค์
- ธัมมานุสติ ระลึกถึงพระธรรม คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระธรรม
- สังฆานุสติ ระลึกถึงพระสงฆ์ คือ น้อมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระสงฆ์
- สีลานุสติ ระลึกถึงศีล คือ น้อมจิตรำลึกพิจารณาศีลของตนที่ได้ประพฤติปฏิบัติ บริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อย
- จาคานุสติ ระลึกถึงการบริจาค คือ น้อมจิตระลึกถึงทานที่ตนได้บริจาคแล้ว และพิจารณาเห็นคุณธรรมคือความเผื่อแผ่เสียสละนี้ที่มีในตน
- เทวตานุสติ ระลึกถึงเทวดา คือ น้อมจิตระลึกถึงเทวดาทั้งหลายที่ตนเคยรู้ และพิจารณาเห็นคุณธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดานั้นๆ ตามที่มีอยู่ในตน
- มรณสติ ระลึกถึงความตายอันจะต้องมีมาถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณาที่จะให้เกิดความไม่ประมาท
- กายคตาสติ สติอันไปในกาย คือ กำหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าประกอบด้วยส่วนต่างๆ อันไม่สะอาด ไม่งาม น่ารังเกียจ เป็นทางรู้เท่าทันสภาวะของกายนี้ มิให้หลงใหลมัวเมา
- อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
- อุปสมานุสติ ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบ คือ ระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระนิพพาน อันเป็นที่ระงับกิเลสและความทุกข์
- พรหมวิหาร 4
- เมตตา ความรัก ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรีและคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า
- กรุณา ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์
- มุทิตา ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง กอปรด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป
- อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา
- อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1
- จตุธาตุววัตถาน 1
- อรูป 4
- อากาสานัญจายตนะ กำหนดช่องว่างหรืออากาศหาที่สุดไม่ได้เป็นอารมณ์
- วิญญาณัญจายตนะ กำหนดวิญญาณหาที่สุดไม่ได้เป็นอารมณ์
- อากิญจัญญายตนะ กำหนดภาวะไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์
- เนวสัญญานาสัญญายตนะ เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
ผลสูงสุดที่จะได้จากการเจริญสมถกรรมฐาน คือ สามารถระงับนิวรณ์ 5 ได้ ทำให้จิตสงบเป็นสมาธิ ได้สมาบัติ 8 คือ รูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4
วิปัสสนากรรมฐาน
วิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา เป็นการฝึกจิตให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในสภาวธรรมทั้งปวง เพื่อให้จิตคลายอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย และหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส
เมื่อฝึกวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดปัญญารู้แจ้งในสภาวธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง โดยมาพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งล้วนตกอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ คือ เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นมาแล้วดับไป เป็นทุกข์ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
เมื่อพิจารณาได้ดังนี้ จิตก็จะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ไม่ยึดมั่นถือมั่น และหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสได้ในที่สุด
ผลสูงสุดที่พึงหวังได้จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็คือ การบรรลุอรหัตตผล สำเร็จเป็นพระอรหันต์ กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา