ปัญหาข้อที่ 1
ถาม พระวินัย คืออะไร ?
ตอบ คือพระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ
ถาม สิกขา 3 เมื่อศึกษาแล้วจะได้ประโยชน์อย่างไร ?
ตอบ ย่อมได้ประโยชน์ดังนี้ ศึกษาเรื่องศีล ทำให้เป็นผู้มีกาย วาจาเรียบร้อย ศึกษาเรื่องสมาธิทำให้ใจสงบมั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน ศึกษาเรื่องปัญญา ทำให้รอบรู้ในกองสังขาร ฯ
ปัญหาข้อที่ 2
ถาม สิกขากับสิกขาบทต่างกันอย่างไร ?
ตอบ
- สิกขา คือข้อที่ภิกษุต้องศึกษา
- สิกขาบท คือพระบัญญัติมาตราหนึ่งๆ เป็นสิกขาบทอันหนึ่งๆ ฯ
ถาม สิกขาบทที่มาในพระปาฏิโมกข์มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
ตอบ มี 227 ฯ คือปาราชิก 4 สังฆาทิเสส 13 อนิยต 2 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30 ปาจิตตีย์ 92 ปาฏิเทสนียะ 4 เสขิยะ 75 อธิกรณสมถะ 7 รวมเป็น 227 ฯ
ปัญหาข้อที่ 3
ถาม คำต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ?
- อาทิกัมมิกะ
- อเตกิจฉา
ตอบ
- อาทิกัมมิกะ คือ ภิกษุผู้ก่อเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้น ฯ
- อเตกิจฉา คือ อาบัติที่แก้ไขไม่ได้ ฯ
ถาม อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
ตอบ มี 6 อย่าง คือ
- ต้องด้วยไม่ละอาย
- ต้องด้วยไม่รู้ว่า สิ่งนี้จะเป็นอาบัติ
- ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง
- ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
- ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
- ต้องด้วยลืมสติ ฯ
ปัญหาข้อที่ 4
ถาม คำว่า “ไถยจิต” หมายถึงอะไร ?
ตอบ หมายถึงจิตคิดจะลัก คือจิตคิดถือเอาของที่เจ้าของไม่ให้ด้วยอาการแห่งขโมย ฯ
ถาม ในอทินนาทานสิกขาบท กำหนดราคาทรัพย์เป็นวัตถุแห่งอาบัติไว้อย่างไรบ้าง ?
ตอบ กำหนดไว้อย่างนี้
- ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ 5 มาสก ขึ้นไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก
- ทรัพย์มีราคาต่ำกว่า 5 มาสก แต่สูงกว่า 1 มาสก เป็นวัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัย
- ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ 1 มาสก ลงไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏ ฯ
ปัญหาข้อที่ 5
ถาม สังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์เช่นไร ?
ตอบ
- สังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ได้ ทั้งที่มีวิญญาณและไม่มีวิญญาณ เช่นสัตว์และเงินทองเป็นต้น ฯ
- อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ไม่ได้ โดยตรงได้แก่ที่ดิน โดยอ้อมนับของที่ติดเนื่องอยู่กับที่นั้นด้วย เช่น ต้นไม้และเรือนเป็นต้น ฯ
ถาม การถือเอาทรัพย์ทั้ง 2 อย่างนั้น กำหนดว่าถึงที่สุดไว้อย่างไร ?
ตอบ
- สังหาริมทรัพย์ กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยทำให้เคลื่อนจากฐาน ฯ
- อสังหาริมทรัพย์ กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ ฯ
ปัญหาข้อที่ 6
ถาม ปาราชิก 4 สิกขาบทไหนที่ภิกษุใช้ให้เขาทำก็ต้องอาบัติถึงที่สุด ?
ตอบ สิกขาบทที่ 2 และสิกขาบทที่ 3 ฯ
ถาม สังฆาทิเสส 13 สิกขาบทไหนบ้างต้องอาบัติตั้งแต่แรกทำ ? มีชื่อเรียกอย่างไร ?
ตอบ สิกขาบทที่ 1 ถึงที่ 9 ฯ เรียกว่า ปฐมาปัตติกะ ฯ
ปัญหาข้อที่ 7
ถาม ภิกษุมีความกำหนัด จับต้องกะเทย บุรุษ และสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นอาบัติอะไร ?
ตอบ จับต้อง กะเทย เป็นอาบัติถุลลัจจัย บุรุษ เป็นอาบัติทุกกฏ สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นอาบัติทุกกฏ ฯ
ถาม อาบัติไม่มีมูล กำหนดโดยอาการอย่างไร ? โจทด้วยอาบัติไม่มีมูลเป็นอาบัติอะไร ?
ตอบ
- กำหนดโดยอาการ 3 คือ ไม่ได้เห็นเอง 1 ไม่ได้ยิน 1 ไม่ได้รังเกียจ 1 ว่าภิกษุนั้นต้องอาบัติชื่อนั้น ฯ
- โจทด้วยอาบัติปาราชิกต้องสังฆาทิเสส โจทด้วยอาบัติสังฆาทิเสสต้องปาจิตตีย์ โจทด้วยอาบัติอื่นจากนี้ต้องปาจิตตีย์ในมุสาวาทสิกขาบท ฯ
ปัญหาข้อที่ 8
ถาม ผ้าจีวรที่ทรงอนุญาตให้ใช้ได้ทำด้วยวัตถุกี่ชนิด ? อะไรบ้าง ?
ตอบ 6 ชนิด คือ
- ทำด้วยเปลือกไม้ เช่น ผ้าลินิน
- ทำด้วยฝ้าย คือ ผ้าสามัญ
- ทำด้วยไหม คือ ผ้าแพร
- ทำด้วยขนสัตว์ เช่น ผ้าสักหลาด
- ทำด้วยเปลือกไม้ เช่น ผ้าป่าน (สาณะ)
- ทำด้วยสัมภาระเจือกัน ฯ
ถาม จีวร ผ้านิสีทนะ อังสะ ผ้าเช็ดหน้า ย่ามผ้า เมื่อจะใช้สอย อย่างไหนควรพินทุ อย่างไหนไม่ควร ? เพราะเหตุใด ?
ตอบ
- จีวร และอังสะ ควรพินทุ เพราะใช้ห่ม
- ผ้านิสีทนะ ผ้าเช็ดหน้า และย่ามผ้า ไม่ต้องพินทุ เพราะไม่ได้ใช้นุ่งห่ม ฯ
ปัญหาข้อที่ 9
ถาม ภิกษุพูดปดต้องอาบัตินั้นทราบแล้ว แต่ถ้าพูดเรื่องจริง จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
ตอบ ต้องอาบัติเหมือนกันคือ บอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริงแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ตามสิกขาบทที่ 8 แห่งมุสาวาทวรรค บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ตามสิกขาบทที่ 9 แห่งมุสาวาทวรรค ฯ
ถาม ปฏิสสวะทุกกฏ คืออะไร ?
ตอบ คืออาบัติทุกกฏที่เกิดจากการรับคำด้วยจิตบริสุทธิ์ แต่ภายหลังไม่ได้ทำตามคำที่รับปากไว้ ฯ
ปัญหาข้อที่ 10
ถาม การนุ่งเป็นปริมณฑล คือการนุ่งอย่างไร ?
ตอบ คือนุ่งเบื้องบนปิดสะดือ แต่ไม่ถึงกระโจมอก เบื้องล่างปิดหัวเข่าทั้ง 2 ลงมาเพียงครึ่งแข้ง ไม่ถึงกรอมข้อเท้า ฯ
ถาม เสขิยวัตรว่าด้วยการรับบิณฑบาตมีหลายข้อ จงระบุมาเพียง 2 ข้อ
ตอบ (เลือกตอบเพียง 2 ข้อ)
- ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ
- ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อรับบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร
- ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก
- ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตแต่พอเสมอขอบปากบาตร ฯ