ปัญหาข้อที่ 1
ถาม การตั้งญัตติและสวดอนุสาวนามีอยู่ในกรรมอะไรบ้าง ในสังฆกรรมทั้ง 4 ?
ตอบ การตั้งญัตติ มีในญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม ส่วนการสวดอนุสาวนา มีในญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม
ถาม สังฆกรรม 4 นั้น อย่างไหนต้องทำในสีมา อย่างไหนทำนอกสีมาก็ได้ ?
ตอบ ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม ต้องทำในสีมาเท่านั้น ทำนอกสีมาไม่ได้ เพราะต้องตั้งญัตติ ส่วนอปโลกนกรรม ทำนอกสีมาก็ได้ เพราะไม่ต้องตั้งญัตติ
ปัญหาข้อที่ 2
ถาม พัทธสีมามีกำหนดขนาดพื้นที่ไว้หรือไม่ ? ถ้ามี กำหนดไว้อย่างไร ?
ตอบ มีกำหนดไว้ คือกำหนดไม่ให้สมมติสีมาเล็กเกินไปจนจุภิกษุ 21 รูป นั่งไม่ได้และไม่ให้สมมติสีมาใหญ่เกินไปกว่า 3 โยชน์ สีมาเล็กเกินไปใหญ่เกินไป เป็นสีมาวิบัติ ใช้ไม่ได้
ถาม สถานที่ที่เป็นสีมาตามพระวินัยไม่ได้ มีหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?
ตอบ ไม่มี เพราะในป่าที่ไม่มีบ้าน ก็จัดเป็นสัตตัพภันตรสีมา ในน่านน้ำที่ได้ขนาด ก็จัดเป็นอุทกุกเขปสีมา ผืนแผ่นดินที่มีหมู่บ้านก็จัดเป็นคามสีมา แม้สีมันตริกซึ่งคั่นระหว่างมหาสีมากับขัณฑสีมาก็จัดเป็นคามสีมา
ปัญหาข้อที่ 3
ถาม คำว่า “เจ้าอธิการ” ในพระวินัยหมายถึงใคร ? มีกี่แผนก ? อะไรบ้าง ?
ตอบ หมายถึงภิกษุที่สงฆ์สมมติให้เป็นเจ้าหน้าที่ทำกิจการของสงฆ์ มี 5 แผนก คือ
- เจ้าอธิการแห่งจีวร
- เจ้าอธิการแห่งอาหาร
- เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ
- เจ้าอธิการแห่งอาราม
- เจ้าอธิการแห่งคลัง
ถาม การให้ภิกษุถือเสนาสนะเป็นหน้าที่ของใคร ? ผู้นั้นพึงปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ เป็นหน้าที่ของเจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะพึงกำหนดฐานะของภิกษุผู้ถือเสนาสนะว่า เป็นผู้ใหญ่หรือผู้น้อย เป็นผู้มีอุปการะแก่สงฆ์หรือหามิได้ เป็นผู้เล่าเรียนหรือประกอบกิจในทางใดบ้าง เป็นต้น แล้วพึงให้ถือเสนาสนะ
ปัญหาข้อที่ 4
ถาม วัดมีพระจำพรรษาวัดละ 2 รูปบ้าง 3 รูปบ้าง ทายกประสงค์จะถวายกฐิน นิมนต์พระมารวมในวัดเดียวกันเพื่อรับกฐิน เป็นกฐินหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ?
ตอบ ไม่เป็นกฐิน เพราะองค์กำหนดสิทธิของภิกษุผู้จะกรานกฐินมี 3 คือ
- เป็นผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาสไม่ขาด
- อยู่ในอาวาสเดียวกัน
- ภิกษุมีจำนวนตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไป
ถาม ในคัมภีร์บริวาร ภิกษุผู้ควรกรานกฐินประกอบด้วยองค์เท่าไร ? บอกมา 3 ข้อ
ตอบ ประกอบด้วยองค์ 8 (เลือกตอบเพียง 3 ข้อ)
- รู้จักบุพพกรณ์
- รู้จักถอนไตรจีวร
- รู้จักอธิษฐานไตรจีวร
- รู้จักการกราน
- รู้จักมาติกาคือหัวข้อแห่งการเดาะกฐิน
- รู้จักปลิโพธกังวลเป็นเหตุยังไม่เดาะกฐิน
- รู้จักการเดาะกฐิน
- รู้จักอานิสงส์กฐิน
ปัญหาข้อที่ 5
ถาม จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้
- ปฏิจฉันนาบัติ
- อันตราบัติ
ตอบ
- ปฏิจฉันนาบัติ หมายถึง อาบัติที่ภิกษุต้องแล้วปกปิดไว้
- อันตราบัติ หมายถึง อาบัติสังฆาทิเสสที่ภิกษุต้องเข้าอีกระหว่างประพฤติวุฏฐานวิธี
ถาม สัมมุขาวินัยมีองค์เท่าไร ? อะไรบ้าง ?
ตอบ มีองค์ 4 คือ
- ในที่พร้อมหน้าสงฆ์
- ในที่พร้อมหน้าธรรม
- ในที่พร้อมหน้าวินัย
- ในที่พร้อมหน้าบุคคล
ปัญหาข้อที่ 6
ถาม การคว่ำบาตรในทางพระวินัยมีความหมายว่าอย่างไร ?
ตอบ มีความหมายว่าไม่ให้คบค้าสมาคมด้วยลักษณะ 3 ประการคือ
- ไม่รับบิณฑบาตของเขา
- ไม่รับนิมนต์ของเขา
- ไม่รับไทยธรรมของเขา
ถาม การคว่ำบาตรนี้ สงฆ์ทำแก่ผู้ประพฤติเช่นไร ? บอกมา 3 ข้อ
ตอบ ทำแก่คฤหัสถ์ (เลือกตอบเพียง 3 ข้อ)
- ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย
- ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย
- ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย
- ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย
- ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน
- กล่าวติเตียนพระพุทธ
- กล่าวติเตียนพระธรรม
- กล่าวติเตียนพระสงฆ์
ปัญหาข้อที่ 7
ถาม ใครเป็นผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน หรือเป็นผู้ขวนขวายเพื่อทำลายสงฆ์ได้ ?
ตอบ ภิกษุผู้ปกตัตตะเป็นสมานสังวาส อยู่ในสีมาเดียวกันเท่านั้น ย่อมอาจทำลายสงฆ์ให้แตกกันเป็นก๊กเป็นพวกได้ นางภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา หาอาจทำลายสงฆ์ให้แตกกันได้ไม่ เป็นได้เพียงขวนขวายเพื่อทำลายสงฆ์เท่านั้น
ถาม เหตุที่สงฆ์จะแตกกันมีอะไรบ้าง ? จะป้องกันได้ด้วยวิธีอย่างไร ?
ตอบ มี 2 อย่างคือ
- มีความเห็นปรารภพระธรรมวินัยแตกต่างกันจนเกิดเป็นอธิกรณ์
- ความประพฤติปฏิบัติไม่เสมอกัน ยิ่งหย่อนกว่ากันแล้วเกิดความรังเกียจกันขึ้น
จะป้องกันได้ด้วย 2 วิธีคือ
- ต้องส่งเสริมและกวดขันการศึกษาพระธรรมวินัย ให้มีความเห็นชอบเหมือนกัน
- ต้องส่งเสริมและกวดขันความประพฤติของภิกษุทั้งหลายให้เสมอกัน ไม่ให้เป็นทางรังเกียจกัน
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505, (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535
ปัญหาข้อที่ 8
ถาม กรรมการมหาเถรสมาคมดำรงอยู่ในตำแหน่งคราวละกี่ปี ?
ตอบ กรรมการมหาเถรสมาคมที่เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ไม่มีกำหนดเวลา ส่วนกรรมการมหาเถรสมาคมที่สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง ดำรงอยู่ในตำแหน่งคราวละ 2 ปี
ถาม ผู้จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการมหาเถรสมาคม มีกำหนดไว้อย่างไร ?
ตอบ มีกำหนดไว้ว่าต้องเป็นอธิบดีกรมการศาสนา (โดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505, (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 13 ความว่า ให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง)
ปัญหาข้อที่ 9
ถาม ในกรณียุบเลิกวัด ทรัพย์สินของวัดนั้นจะพึงตกแก่ใคร ?
ตอบ ให้ตกเป็นของศาสนสมบัติกลาง จะแบ่งให้ใครไม่ได้ (มาตรา 32 วรรค 2 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505, (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535)
ถาม การดูแลและจัดการศาสนสมบัติ กำหนดให้เป็นหน้าที่ของใคร ?
ตอบ การดูแลและจัดการศาสนสมบัติกลาง กำหนดให้เป็นหน้าที่ของกรมการศาสนา การดูแลและจัดการศาสนสมบัติของวัด กำหนดให้เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส (การดูแลและจัดการศาสนสมบัติกลาง บัญญัติไว้ในมาตรา 40 ว่า ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมการศาสนา เพื่อการนี้ให้ถือว่ากรมการศาสนาเป็นเจ้าของศาสนสมบัติกลางนั้นด้วย และมาตรา 41 ว่า ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำงบประมาณประจำปีของศาสนสมบัติกลาง ด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้งบประมาณนั้นได้ ส่วนการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัดมีในมาตรา 37 (1) ว่า เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดีและใน มาตรา 40 ว่า การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง)
ปัญหาข้อที่ 10
ถาม เจ้าอาวาส ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 ใครเป็นผู้แต่งตั้ง ?
ตอบ สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เจ้าคณะจังหวัดแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดราษฎร์
ถาม เจ้าอาวาสผู้ได้รับแต่งตั้งมีหน้าที่อย่างไร ?
ตอบ เจ้าอาวาสมีหน้าที่ตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505, (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ดังนี้
- บำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี
- ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนักอาศัยอยู่ในวัดนั้น ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม
- เป็นธุระในการศึกษาอบรมและสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์
- ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศล