ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นเอก พ.ศ. 2545

ถาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกอบด้วยสัมปทาคุณกี่ประการ ? อะไรบ้าง ?

ตอบ 3 ประการ คือเหตุสัมปทา ผลสัมปทา สัตตูปการสัมปทา ฯ

ถาม ในวันที่พระมหาบุรุษประสูตินั้น สหชาติที่เกิดพร้อมร่วมวันกับพระองค์มีอะไรบ้าง ?

ตอบ มีพระนางพิมพา พระอานนท์ กาฬุทายีอมาตย์ ฉันนะอมาตย์ ม้ากัณฐกะ ต้นมหาโพธิ์ และขุมทองทั้ง 4 ฯ


ถาม ที่สุดทั้ง 2 อย่างอันบรรพชิตไม่ควรเสพ มีโทษอย่างไรบ้าง ?

ตอบ มีโทษดังนี้ คือ

  • กามสุขัลลิกานุโยค เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนอริยะคือผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
  • อัตตกิลมถานุโยค ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ฯ

ถาม มัชฌิมาปฏิปทา มีคุณอย่างไรบ้าง ?

ตอบ มีคุณดังนี้ คือ ทำดวงตาคือทำญาณเครื่องรอบรู้ เป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความไม่มีกิเลสเครื่องร้อยรัด ฯ


ถาม บุคคลที่ท่านเปรียบด้วยดอกบัว 4 เหล่า ได้แก่จำพวกไหนบ้าง ?

ตอบ ได้แก่

  1. อุคฆฏิตัญญู คือ ผู้มีอุปนิสัยสามารถจะตรัสรู้ธรรมวิเศษโดยพลัน พร้อมกันกับเวลาที่ท่านผู้ศาสดาแสดงธรรมสั่งสอน เปรียบด้วยดอกบัวพ้นน้ำ
  2. วิปจิตัญญู คือ ผู้ที่ท่านอธิบายขยายความแห่งคำที่ย่อให้พิสดารออกไป จึงจะตรัสรู้ธรรมวิเศษได้ เปรียบด้วยดอกบัวเสมอน้ำ
  3. เนยยะ คือ ผู้ที่พอจะแนะนำได้ คือพอที่จะฝึกอบรมสั่งสอนให้รู้และเข้าใจได้อยู่ เปรียบด้วยดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ
  4. ปทปรมะ คือ ผู้แม้จะฟังและกล่าวและทรงไว้และบอกแก่ผู้อื่นซึ่งธรรมเป็นอันมาก ก็ไม่สามารถจะตรัสรู้ธรรมวิเศษในอัตภาพชาตินั้นได้ เปรียบด้วยดอกบัวที่เป็นภักษาแห่งเต่าและปลา ฯ

ถาม พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพีกถาก่อนที่จะแสดงอริยสัจ 4 เพื่อประโยชน์อะไร ?

ตอบ เพื่อฟอกจิตสาวกหรือผู้ฟัง ให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม ควรรับพระธรรมเทศนาให้เกิดดวงตาเห็นธรรม เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้ ฉะนั้น ฯ


ถาม จงแสดงใจความย่อของพระสูตรเหล่านี้

  1. อนัตตลักขณสูตร
  2. อาทิตตปริยายสูตร

ตอบ

  1. อนัตตลักขณสูตร พระสูตรที่ว่าด้วยลักษณะแห่งอนัตตา โดยใจความย่อว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งรวมเรียกว่าขันธ์ 5 นี้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน ฯ
  2. อาทิตตปริยายสูตร พระสูตรที่ว่าด้วยสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน โดยใจความย่อว่า อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณ สัมผัส และเวทนาที่เกิดแต่สัมผัส เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟคือความกำหนัด ความโกรธ ความหลง และร้อนเพราะความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศกร่ำไรรำพัน เจ็บกาย เสียใจ คับใจ ฯ

ถาม พระพุทธดำรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ กำมืออาจารย์ในธรรมทั้งหลายไม่มีแก่พระตถาคตเจ้า” หมายความว่าอย่างไร ?

ตอบ หมายความว่า พระตถาคตเจ้าไม่ทรงมีข้อลี้ลับในธรรมทั้งหลายที่จะต้องปกปิดซ่อนบังไว้ แสดงได้แก่สาวกบางเหล่า มิได้ทั่วไปเป็นสรรพสาธารณ์ หรือจะพึงแสดงให้สาวกทราบต่ออวสานกาลที่สุด ฯ

ถาม พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญญาตัตถจริยา ด้วยมีพระประสงค์อย่างไร ?

ตอบ ด้วยพระประสงค์จะให้พระญาติบริบูรณ์ด้วยสุข 3 ประการ คือมนุษยสุข 1 ทิพยสุข 1 นิพพานสุข 1 ทั้งที่ครองฆราวาส ทั้งที่ออกบรรพชาในพระพุทธศาสนา ฯ


ถาม พุทธเจดีย์ มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?

ตอบ มี 4 ประเภท คือ ธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ ธรรมเจดีย์ และอุทเทสิกเจดีย์ ฯ

ถาม อุทยมาณพทูลถามว่า “โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวกันว่า นิพพานๆ ดังนี้ เพราะละอะไรได้” พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร ?

ตอบ ทรงพยากรณ์ว่า โลกมีความเพลิดเพลินผูกพันไว้ ความตรึกเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวกันว่า นิพพานๆ ดังนี้ เพราะละตัณหาเสียได้


ถาม พระภัททิยเถระ มักเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอๆ ดังนี้ เพราะเหตุไร ?

ตอบ เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ต้องจัดการรักษาป้องกันทั้งในวังนอกวัง ทั้งในเมืองนอกเมือง จนตลอดทั่วอาณาเขต แม้มีคนคอยรักษาอย่างนี้แล้ว ยังต้องหวาดระแวง สะดุ้งกลัวอยู่เป็นนิตย์ ครั้นทรงออกบวชได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แม้อยู่ในที่ไหนๆ ก็ไม่หวาดระแวง ไม่สะดุ้งกลัว ไม่ต้องขวนขวายมีใจปลอดโปร่งเป็นดุจมฤคอยู่ จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น ฯ

ถาม พระเจ้าโกรัพยะทรงปรารภกับพระรัฐบาลถึงเหตุให้บุคคลออกบวชว่าอย่างไร ?

ตอบ ทรงปรารภเหตุวิบัติ 4 ประการ คือ

  1. ความแก่
  2. ความเจ็บป่วย
  3. ความเสื่อมจากโภคทรัพย์
  4. ความเสื่อมญาติ ฯ

ถาม พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากได้ทูลขอพร 8 ประการ ข้อสุดท้าย ความว่าอย่างไร ?

ตอบ ความว่า ถ้าพระองค์เสด็จไปเทศนาเรื่องใดที่ไหน ซึ่งข้าพระองค์ไม่ได้ฟัง ขอพระองค์ตรัสบอกเทศนาเรื่องนั้นแก่ข้าพระองค์ ฯ

ถาม ท่านได้รับการยกย่องจากพระศาสดาอย่างไรบ้าง ?

ตอบ ได้รับการยกย่องว่า เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้วยคุณสมบัติ 5 สถาน คือ

  1. เป็นพหูสูต
  2. มีสติ
  3. มีคติ
  4. มีธิติ
  5. เป็นพุทธอุปัฏฐาก ฯ

ถาม พระพุทธองค์ทรงแนะนำพระเถระองค์ใดให้ปรารภความเพียรแต่พอประมาณ ?

ตอบ พระโสณโกฬิวิสะ ฯ

ถาม เพราะเหตุใดจึงทรงแนะนำเช่นนั้น ?

ตอบ เพราะพระโสณโกฬิวิสะ ทำความเพียรเดินจงกรมจนเท้าแตก ก็ไม่อาจให้บรรลุมรรคผลได้ สมัยเมื่อท่านเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้ฉลาดเข้าใจในเสียงแห่งสายพิณ พระผู้มีพระภาคจึงทรงแนะนำว่า ในการดีดพิณนั้นจะต้องขึงสายพิณแต่พอดี เสียงพิณจึงจะไพเราะ หย่อนเกินไปหรือตึงเกินไปก็ไม่น่าฟัง ความเพียรก็เหมือนกัน ถ้าย่อหย่อนนัก ก็เป็นไปเพื่อเกียจคร้าน ถ้าเกินไปนักก็เป็นไปเพื่อฟุ้งซ่าน จึงควรทำความเพียรแต่พอดี ฯ


ถาม อปาณกฌาน ได้แก่อะไร ?

ตอบ ได้แก่ ความเพ่งไม่มีลมปราณ คือไม่มีลมอัสสาสะปัสสาสะ โดยเนื้อความก็คือกลั้นลมหายใจไม่ให้ดำเนินทางจมูกและปาก ซึ่งเป็นทางเดินโดยปกติ ฯ

ถาม พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญฌานนี้ในคราวใด ? และได้รับผลที่มุ่งหวังหรือไม่อย่างไร ?

ตอบ ในคราวทรงทำทุกกรกิริยาฯ ไม่ได้รับผลที่มุ่งหวัง แต่เป็นการทรมานร่างกายให้ลำบากเปล่า ฯ