ปัญหาข้อที่ 1
ถาม อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา มีอะไรปิดบังไว้จึงไม่ปรากฏ ?
ตอบ อนิจจตา ความที่สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ถูกสันตติปิดบังไว้จึงไม่ปรากฏทุกขตา ความที่สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ถูกอิริยาบถปิดบังไว้ จึงไม่ปรากฏอนัตตตา ความที่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถูกฆนสัญญาปิดบังไว้ จึงไม่ปรากฏ ฯ
ถาม อนิจจตา กำหนดรู้ได้ด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?
ตอบ กำหนดรู้ได้ด้วยอาการ 3 อย่าง คือ
- ในทางง่าย ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นไปในเบื้องปลาย
- ในทางละเอียดกว่านั้น ย่อมกำหนดรู้ได้ด้วยความแปรในระหว่างเกิดและดับ
- ในทางอันเป็นอย่างสุขุม ย่อมกำหนดเห็นความแปรแห่งสังขารในชั่วขณะหนึ่งๆ คือไม่คงที่อยู่นาน เพียงในระยะกาลนิดเดียวก็แปรแล้ว ฯ
ปัญหาข้อที่ 2
ถาม นิพพิทาญาณ หมายถึงอะไร ?
ตอบ หมายถึงปัญญาของผู้บำเพ็ญเพียรจนเกิดความหน่ายในสังขาร ฯ
ถาม ปฏิปทาแห่งนิพพิทา เป็นเช่นไร ?
ตอบ การพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา แล้วเกิดนิพพิทา เบื่อหน่ายในทุกขขันธ์ ไม่เพลิดเพลินหมกมุ่นอยู่ในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา นี้เป็นปฏิปทาแห่งนิพพิทา ฯ
ปัญหาข้อที่ 3
ถาม วิราคะเป็นยอดแห่งธรรมทั้งปวง คำว่า “ธรรมทั้งปวง” หมายถึงอะไร ?
ตอบ หมายถึง สังขตธรรม คือธรรมอันธรรมดาปรุงแต่ง และอสังขตธรรม คือธรรมอันธรรมดามิได้ปรุงแต่ง ฯ
ถาม นิโรธ ที่เป็นไวพจน์แห่ง วิราคะ หมายถึงอะไร ?
ตอบ หมายถึงความดับทุกข์ เนื่องมาจากดับตัณหา ฯ
ปัญหาข้อที่ 4
ถาม ตัณหาคืออะไร ? ตัณหานั้น เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดที่ไหนและเมื่อดับย่อมดับที่ไหน ?
ตอบ คือความอยาก ฯ เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดในสิ่งเป็นที่รักที่ยินดีในโลก เมื่อดับ ย่อมดับในสิ่งเป็นที่รักที่ยินดีในโลก ฯ
ถาม คำว่า มทนิมฺมทโน ธรรมยังความเมาให้สร่าง หมายถึงความเมาในอะไร ?
ตอบ หมายถึงความเมาในอารมณ์อันยั่วยวนให้เกิดความเมาทุกประการ เช่น สมบัติแห่งชาติ สกุล อิสริยะ บริวาร ก็ดี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ดี เยาว์วัย ความหาโรคมิได้ และชีวิต ก็ดี นับเข้าในอารมณ์ประเภทนี้ ฯ
ปัญหาข้อที่ 5
ถาม บาลีแสดงปฏิปทาแห่งสันติว่า โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข ความว่า ผู้เพ่งความสงบพึงละอามิสในโลกเสีย คำว่า อามิสในโลก หมายถึงอะไร ?
ตอบ หมายถึงปัญจพิธกามคุณ คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ ฯ
ถาม ที่เรียกว่า อามิสในโลก เพราะเหตุไร ?
ตอบ เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดในโลก ดุจเหยื่ออันเบ็ดเกี่ยวอยู่ ฯ
ปัญหาข้อที่ 6
ถาม จงแสดงพระพุทธคุณ 9 โดยอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ พอได้ใจความ ?
ตอบ
- พระพุทธคุณ ตั้งแต่ อรหํ จนถึง โลกวิทู เป็นพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติ
- พระพุทธคุณ คือ อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นพระพุทธคุณส่วนปรหิตปฏิบัติ
- พระพุทธคุณ คือ พุทฺโธ ภควา เป็นพระพุทธคุณทั้งอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ ฯ
ถาม ในพระพุทธคุณ 9 ประการนั้น ส่วนไหนเป็นเหตุ ส่วนไหนเป็นผล ? เพราะเหตุไร ?
ตอบ พระพุทธคุณ ส่วนอัตตสมบัติ เป็นเหตุ ส่วนปรหิตปฏิบัติ เป็นผล เพราะทรงบริบูรณ์ด้วยพระพุทธคุณส่วนอัตตสมบัติก่อนแล้วจึงทรงบำเพ็ญพุทธกิจให้สำเร็จประโยชน์แก่เวไนย ฯ
ปัญหาข้อที่ 7
ถาม ปัจจุบันนี้ การเจริญกัมมัฏฐาน เป็นที่นิยมของสาธุชน ขอทราบว่า กัมมัฏฐานนั้นมีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
ตอบ มี 2 อย่าง คือ
- สมถกัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายสงบใจ
- วิปัสสนากัมมัฏฐาน กัมมัฏฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา ฯ
ถาม ธรรมที่เป็นหัวใจของสมถกัมมัฏฐาน มีอะไรบ้าง ?
ตอบ มีกายคตาสติ เมตตา พุทธานุสสติ กสิณ และจตุธาตุววัตถาน ฯ
ปัญหาข้อที่ 8
ถาม กายคตาสติกัมมัฏฐาน กับ อสุภกัมมัฏฐาน แตกต่างกันอย่างไร ?
ตอบ กายคตาสติกัมมัฏฐาน พิจารณาร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ให้เห็นเป็นของน่าเกลียด ส่วนอสุภกัมมัฏฐาน พิจารณาซากศพ ฯ
ถาม กสิณ แปลว่าอะไร และเป็นคู่ปรับแก่นิวรณ์ชนิดไหน ?
ตอบ แปลว่า วัตถุอันจูงใจ คือจูงใจให้เข้าไปผูกอยู่ เป็นชื่อของกัมมัฏฐาน แปลว่า มีวัตถุที่ชื่อว่ากสิณเป็นอารมณ์ เป็นคู่ปรับแก่อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ฯ
ปัญหาข้อที่ 9
ถาม การเจริญมรณสติอย่างไร จึงจะแยบคาย ?
ตอบ เจริญพร้อมด้วยองค์ 3 คือ
- มีสติ ระลึกถึงความตาย
- มีญาณ รู้ว่าความตายจักมีเป็นแน่ ตัวจะต้องตายเป็นแท้
- เกิดสังเวชสลดใจเจริญอย่างนี้จึงจะแยบคาย ฯ
ถาม ในนวสีวถิกาปัพพะ เมื่อภิกษุเห็นซากศพชนิดใดชนิดหนึ่งใน 9 ชนิดนั้น ท่านให้ภาวนาอย่างไร ?
ตอบ ท่านให้ภาวนาโดยการน้อมเข้ามาสู่กายนี้นี่แลว่า อยมฺปิ โข กาโย ถึงร่างกายอันนี้เล่า เอวํ ธมฺโม ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา เอวํ ภาวี จักเป็นอย่างนี้ เอวํ อนตีโต ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ฯ
ปัญหาข้อที่ 10
ถาม อานาปานสติ ในคิริมานนทสูตร กับในมหาสติปัฏฐานสูตร ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ ในคิริมานนทสูตร แสดงการกำหนดลมหายใจที่เป็นไปพร้อมในกาย เวทนา จิต และธรรม ส่วนในมหาสติปัฏฐานสูตร แสดงแต่เพียงกายานุปัสสนาเท่านั้น ฯ
ถาม ผู้เจริญเมตตาเป็นประจำย่อมได้รับอานิสงส์ อย่างไรบ้าง ?
ตอบ ย่อมได้รับอานิสงส์ 11 ประการ คือ
- หลับอยู่ก็เป็นสุข
- ตื่นอยู่ก็เป็นสุข
- ไม่ฝันเห็นสิ่งลามก
- เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
- เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
- เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา
- ไฟไม่ไหม้ พิษหรือศัสตราวุธทั้งหลายประทุษร้ายไม่ได้
- จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเร็ว
- ผิวพรรณผ่องใสงดงาม
- ไม่หลงทำกาลกิริยา คือเมื่อจะตายย่อมได้สติ
- เมื่อตายแล้วแม้เกิดอีกก็เกิดในสถานที่ดี เป็นที่เสวยสุข ถ้าไม่เสื่อมจากฌาน ก็ไปเกิดในพรหมโลก ฯ