ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นโท พ.ศ. 2543

ถาม อนุพุทธบุคคลคือบุคคลพวกไหน ? ได้ชื่อว่าอย่างนั้นเพราะเหตุไร ?

ตอบ คือบุคคลผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นผู้รู้ตามพระพุทธเจ้า

ถาม อนุพุทธบุคคล เป็นนักบวชหรือบุคคลทั่วไป ?

ตอบ เป็นนักบวชก็มี เป็นบุคคลทั่วไปก็มี


ถาม การศึกษาอนุพุทธประวัติให้ประโยชน์อย่างไรต่อเจ้าของประวัติ ?

ตอบ เป็นการประกาศเกียรติคุณพระสาวกผู้เป็นอุปการะแก่พระศาสนา ได้เชิดชูพระคุณท่าน นำเพื่อนร่วมศาสนาให้เกิดปสาทะและนับถือ ความดีของพระสาวกปรากฏแล้วจักเชิดชูพระเกียรติคุณของพระศาสดายิ่งขึ้น

ถาม การศึกษาอนุพุทธประวัติให้คุณค่าอย่างไรต่อผู้ศึกษา ?

ตอบ ให้คุณค่าในด้านกำหนดและจดจำวัตรปฏิบัติอันงดงามของท่านมาเป็นปฏิปทาเครื่องดำเนินชีวิตของตน


ถาม พระโกณฑัญญะได้เกิดความรู้เห็นอย่างไรก่อน จึงนับว่าเป็นปฐมอริยสาวก ?

ตอบ ได้เกิดความรู้เห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา คือได้ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ) แล้วทูลขอบวชกับพระพุทธองค์ จึงนับได้ว่าเป็นปฐมอริยสาวกในพระศาสนา

ถาม ท่านได้รับเกียรติยศเป็นพิเศษเพราะเหตุนี้อย่างไรบ้าง ?

ตอบ เมื่อท่านเกิดความรู้เห็นดังนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงเปล่งอุทาน ว่า “อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ” แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอๆ แต่นั้นมา ท่านมีนามว่า อัญญาโกณฑัญญะ ข้อนี้เป็นเกียรติยศพิเศษสำหรับท่านผู้เป็นปฐมอริยสาวก ฯ


ถาม พระสาวกรูปใดได้รับการบวชด้วยญัตติจตุตถกรรมเป็นรูปแรก ?

ตอบ พระราธะ

ถาม พระสาวกรูปนั้นได้รับยกย่องเป็นเลิศในทางไหน ?

ตอบ ในทางมีปฏิภาณ คือญาณแจ่มแจ้งในพระธรรมเทศนา


ถาม พระพุทธองค์ทรงยกย่องพระสารีบุตรคู่กับพระโมคคัลลานะโดยอุปมาไว้ อย่างไร ?

ตอบ พระพุทธองค์ตรัสอุปมาว่า พระสารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ให้ทารกเกิด พระโมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้วนั้น

ถาม ที่ตรัสอุปมาไว้อย่างนั้นเพราะเหตุไร ?

ตอบ ที่ตรัสอุปมาไว้อย่างนั้นเพราะพระสารีบุตรย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องบนที่สูงกว่านั้น


ถาม การพบกันของพระอัสสชิและอุปติสสปริพาชกมีผลต่อพระพุทธศาสนาอย่างไร ?

ตอบ มีผลเกิดขึ้นดังนี้คือ

  1. อุปติสสปริพาชกได้ความเลื่อมใสในวัตรของพระอัสสชิ
  2. อุปติสสปริพาชกได้ฟังธรรมแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม
  3. อุปติสสปริพาชกได้ชักชวนเพื่อนไปบวช ฟังธรรมแล้วได้บรรลุธรรม
  4. พระพุทธองค์ได้อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา

ถาม พระสารีบุตรมีปัญญาเลิศกว่าพระสาวกทั้งหลายนั้น มีอะไรเป็นเครื่องยืนยัน ?

ตอบ มีพระพุทธดำรัสตรัสยกย่องพระสารีบุตรว่าเป็นยอดแห่งพระสาวกผู้มีปัญญา และตรัสสรรเสริญว่าพระสารีบุตรสามารถแสดงธรรมจักรและจตุราริยสัจ ได้กว้างขวางพิสดารแม้นกับพระองค์ ประกอบกับพระธรรมเทศนาที่ท่านได้แสดงไว้ในโอกาสนั้น ๆ ส่องให้เห็นถึงอัจฉริยภาพอย่างแท้จริงของท่านในด้านนี้


ถาม ธรรมุทเทศคืออะไรบ้าง ?

ตอบ ธรรมุทเทศ คือ

  1. โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน
  2. โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน
  3. โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ ตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป
  4. โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา

ถาม ใครแสดงแก่ใคร ?

ตอบ พระรัฐบาลแสดงถวายพระเจ้าโกรัพยะ


ศาสนพิธี

ถาม คำว่า สวดมาติกาหรือสดับปกรณ์ หมายถึงอะไร ?

ตอบ หมายถึงการสวดบทมาติกาของพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ หรือที่เรียกว่า สัตตัปปกรณาภิธรรม ซึ่งมีการบังสุกุลเป็นที่สุด เป็นประเพณีนิยมจัดให้พระสงฆ์สวดในงานทำบุญหน้าศพอย่างหนึ่ง

ถาม คำทั้งสองนั้นใช้ต่างกันอย่างไร ?

ตอบ คำว่าสวดมาติกา ใช้ในงานศพราษฎรสามัญทั่วไป ส่วนคำว่า สดับปกรณ์ ใช้เรียกโดยโวหารทางราชการในงานหลวง (ศพหรืออัฐิของเจ้านายตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป)


ถาม ผ้าวัสสิกสาฎกคือผ้าเช่นไร ?

ตอบ คือ ผ้าสำหรับภิกษุใช้นุ่งในเวลาอาบน้ำฝนหรืออาบน้ำทั่วไป เรียกกันว่า ผ้าอาบน้ำฝนบ้าง ผ้าอาบบ้าง ผ้านี้เกิดขึ้นเฉพาะฤดูกาลที่ทรงอนุญาตเป็นบริขารพิเศษชั่วคราว อธิษฐานไว้ใช้ได้ตลอด 4 เดือนฤดูฝน พ้นจากเขตนั้นเป็นธรรมเนียมให้วิกัป

ถาม ผ้าจำนำพรรษาคือผ้าเช่นไร ?

ตอบ คือ ผ้าที่ทายกถวายแก่ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน เว้นผ้ากฐิน


ถาม ศาสนพิธีเล่ม 2 แสดงอุโบสถกรรมไว้กี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?

ตอบ มี 3 ประเภท คือ

  1. สังฆอุโบสถ
  2. ปาริสุทธิอุโบสถ
  3. อธิษฐานอุโบสถ

ถาม แต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร ?

ตอบ มีความแตกต่างกันดังนี้

  1. สังฆอุโบสถ คือ อุโบสถกรรมที่พระภิกษุตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปประชุมสวดพระปาฏิโมกข์
  2. ปาริสุทธิอุโบสถ คือ อุโบสถกรรมที่พระภิกษุน้อยกว่า 4 รูป มีเพียง 3 รูป หรือ 2 รูป ร่วมกันทำเป็นการคณะ ให้แต่ละรูปบอกความบริสุทธิ์ของตน ๆ
  3. อธิษฐานอุโบสถ คืออุโบสถกรรมที่พระภิกษุรูปเดียวทำเป็นการบุคคลด้วยการอธิษฐานความบริสุทธิ์ใจของตนเอง