ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นโท พ.ศ. 2543

ถาม ปริเยสนา 2 อย่างตามความในพระสูตรท่านแสดงไว้อย่างไร ?

ตอบ แสดงว่า แสวงหาสิ่งอันมิใช่ของมีชรา พยาธิ มรณะ โสกะและสังกิเลส เป็นธรรมดา คือธรรมอันเกษมมีพระนิพพานเป็นอย่างสูง จัดเป็นอริย ปริเยสนา แสวงหาสิ่งอันมีชรา พยาธิ มรณะ โสกะและสังกิเลสเป็นธรรมดา ทั้งที่สภาพเช่นนั้นก็มีในตนอยู่พร้อมแล้ว จัดเป็นอนริยปริเยสนา

ถาม ภิกษุควรแสวงหาเลี้ยงชีพอย่างไรจึงเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ ?

ตอบ ภิกษุแสวงหาเลี้ยงชีพโดยอุบายอันสมควร ทั้งไม่เป็นโลกวัชชะมีโทษทางโลกและไม่เป็นปัณณัตติวัชชะ มีโทษทางพระบัญญัติ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนและผู้อื่นจึงจะเป็นการแสวงหาอย่างประเสริฐ


ถาม ปรีชาหยั่งรู้อะไรจัดเป็นกิจจญาณ ?

ตอบ ปรีชาหยั่งรู้ว่า ทุกข์เป็นธรรมชาติที่ควรกำหนดรู้ ทุกขสมุทัยเป็นสภาพที่ควรละเสีย ทุกขนิโรธเป็นสภาพที่ควรทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเป็นธรรมชาติที่ควรทำให้เกิด จัดเป็นกิจจญาณ

ถาม สิกขาคืออะไร ? มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?

ตอบ ปฏิปทาที่ตั้งไว้เพื่อศึกษา คือฝึกหัดไตรทวารไปตาม ชื่อว่าสิกขา มี 3 อย่างคือ

  1. อธิสีลสิกขา สิกขาคือศีลยิ่ง
  2. อธิจิตตสิกขา สิกขาคือจิตยิ่ง
  3. อธิปัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญายิ่ง

ถาม อัปปมัญญา 4 กับพรหมวิหาร 4 ต่างกันอย่างไร ?

ตอบ ต่างกันอย่างนี้คือ อัปปมัญญาได้แก่การแผ่โดยไม่เจาะจงตัว และไม่มีจำกัด ส่วนพรหมวิหารได้แก่การแผ่โดยเจาะจงตัว หรือโดยไม่เจาะจงตัวแต่ยังจำกัดมุ่งเอาหมู่นี้หมู่นั้น

ถาม อะไรเรียกว่า อริยวงศ์ ? แจกออกเป็นเท่าไร ? อะไรบ้าง ?

ตอบ ปฏิปทาของพระอริยบุคคลผู้เป็นสมณะเรียกว่า อริยวงศ์ แจกออกเป็น 4 คือ

  1. สันโดษด้วยจีวรตามมีตามเกิด
  2. สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามเกิด
  3. สันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามเกิด
  4. ยินดีในการเจริญกุศลและในการละอกุศล

ถาม อุปาทานคืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?

ตอบ อุปาทานคือการถือมั่นข้างเลว ได้แก่การถือรั้น มี 4 คือ

  1. กามุปาทาน ถือมั่นในกาม
  2. ทิฏฐุปาทาน ถือมั่นทิฏฐิ
  3. สีลัพพตุปาทาน ถือมั่นศีลพรต
  4. อัตตวาทุปาทาน ถือมั่นวาทะว่าตน

ถาม กำเนิด 4 มีอะไรบ้าง ?

ตอบ กำเนิด 4 ประกอบด้วย

  1. ชลาพุชะ เกิดในครรภ์
  2. อัณฑชะ เกิดในไข่
  3. สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล
  4. โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น

ถาม การสำรวมระวังปิดกั้นอกุศลเรียกว่าอะไร ? มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?

ตอบ เรียกว่า สังวร มี 5 คือ

  1. สีลสังวร สำรวมด้วยศีล
  2. สติสังวร สำรวมด้วยสติ
  3. ญาณสังวร สำรวมด้วยญาณ
  4. ขันติสังวร สำรวมด้วยขันติ
  5. วิริยสังวร สำรวมด้วยความเพียร

ถาม สติสังวร สำรวมด้วยสตินั้น มีอธิบายอย่างไร ?

ตอบ มีอธิบายว่า สำรวมอินทรีย์มีจักษุเป็นต้นระวังรักษามิให้อกุศลธรรมเข้า ครอบงำ เมื่อเห็นรูปเป็นต้น ทั้งมีสติไม่ฟั่นเฟือนลืมหลง ระลึกได้ก่อนแต่ทำ พูด คิด ไม่ให้ผิดทางกาย วาจา ใจ ไม่ประมาทหลงทำกรรมชั่ว


ถาม ทำไมท่านจึงเปรียบวิสุทธิ 7 เหมือนรถ 7 ผลัด ?

ตอบ เพราะวิสุทธิ 7 นี้ เป็นปัจจัยส่งต่อกันขึ้นไปเพื่อบรรลุพระนิพพาน ท่านจึงเปรียบเหมือนรถ 7 ผลัดต่างส่งต่อซึ่งคนผู้ไปให้ถึงสถานที่ปรารถนา

ถาม อะไรจัดเป็นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ?

ตอบ วิปัสสนาญาณ 9 จัดเป็นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ


ถาม จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้

  1. ภควา
  2. โอปนยิโก

ตอบ

  1. ภควา คือพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นผู้มีโชค คือจะทรงทำการใด ก็ ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ อีกอย่างหนึ่งเป็นผู้จำแนกแจกธรรม
  2. โอปนยิโก คือพระธรรมมีคุณควรน้อมเข้ามาในใจของตนหรือควรน้อมใจเข้าไปหาพระธรรมนั้นด้วยการปฏิบัติให้เกิดมีขึ้นในใจ

ถาม บารมีคืออะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?

ตอบ บารมีคือคุณสมบัติหรือปฏิปทาอันยวดยิ่ง มี 10 อย่าง คือ

  1. ทาน
  2. ศีล
  3. เนกขัมมะ
  4. ปัญญา
  5. วิริยะ
  6. ขันติ
  7. สัจจะ
  8. อธิษฐาน
  9. เมตตา
  10. อุเบกขา

ถาม สังโยชน์อะไรเรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์ ? มีอะไรบ้าง ?

ตอบ สังโยชน์เบื้องต่ำคืออย่างหยาบเรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์ มี 5 อย่างคือ

  1. สักกายทิฏฐิ
  2. วิจิกิจฉา
  3. สีลัพพตปรามาส
  4. กามราคะ
  5. ปฏิฆะ

ถาม จงอธิบายคำต่อไปนี้

  1. มิจฉาสมาธิ
  2. สัมมาสมาธิ

ตอบ

  1. มิจฉาสมาธิ คือการตั้งจิตไว้ผิด โดยนำสมาธิที่ได้นั้นไปใช้ในผิดทาง เช่น สะกดจิตในทางหาลาภให้แก่ตนเอง ในทางหาผลประโยชน์ ทำให้ผู้อื่นหลงงมงายในวิชาความรู้ ในทางให้ร้ายผู้อื่นและในทางนำให้หลง
  2. สัมมาสมาธิ คือการตั้งจิตไว้ชอบในองค์ฌาน 4 หรือมีนัยตรงกันข้ามกับ มิจฉาสมาธิข้างต้น

ถาม ธุดงค์ 13 ท่านกล่าวว่า เป็นวัตรจริยาพิเศษอย่างหนึ่งไม่ใช่ศีลนั้น คืออย่างไร ?

ตอบ คือการสมาทานหรือข้อที่ถือปฏิบัติจำเพาะผู้สมัครใจจะพึงสมาทานประพฤติไม่มีโทษ มีแต่ให้คุณแก่ผู้ถือปฏิบัติ

ถาม ธุดงค์นั้น ท่านบัญญัติไว้เพื่ออะไร ?

ตอบ เพื่อเป็นอุบายบรรเทาขัดเกลาและกำจัดกิเลส เป็นไปเพื่อความมักน้อยและสันโดษ เป็นต้น