สุทธิ แปลว่า ความบริสุทธิ์ ความสะอาดหมดจด หมายถึง ความบริสุทธิ์แห่งใจ ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติเพื่อชำระกิเลสเครื่องเศร้าหมองออกจากจิตใจ แบ่งเป็น 2 ประเภทตามลักษณะแห่งความบริสุทธิ์ คือ
- ปริยายสุทธิ ความบริสุทธิ์บางส่วน
- นิปปริยายสุทธิ ความบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง
ปริยายสุทธิ
ปริยายสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์บางส่วน ความบริสุทธิ์ในบางแง่บางด้าน หมายถึง ความบริสุทธิ์ที่เกิดจากการละกิเลสสังโยชน์ได้บางส่วน คือกิเลสบางตัวถูกทำลายไปแล้ว แต่กิเลสบางตัวยังคงเหลืออยู่ หมายเอาความบริสุทธิ์ของพระอริยบุคคล 3 ประเภทแรก ได้แก่
- พระโสดาบัน ละสังโยชน์เบื้องต้นได้ 3 ประการ คือ
- สักกายทิฏฐิ ความเห็นอันเป็นเหตุถือตัวถือตน
- วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
- สีลัพพตปรามาส การถือศีลและวัตรแบบงมงาย
- พระสกทาคามี ละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ 3 ประการและสามารถบรรเทาราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงด้วย
- พระอนาคามี ละสังโยชน์ได้เพิ่มเติมอีก 2 ประการ คือ
- กามราคะ ความพอใจรักใคร่ในกามคุณ
- ปฏิฆะ ความขัดเคืองใจ
เพราะพระอริยบุคคล 3 ประเภทแรกนี้ ละกิเลสได้บางส่วนตามระดับภูมิของตน ยังเหลือกิเลสบางส่วนที่ยังไม่สามารถทำลายได้ในชั้นภูมิของตน ยังต้องเพียรพยายามเพื่อทำลายกิเลสส่วนที่เหลือให้หมดต่อไป ดังนั้น พระอริยบุคคล 3 ประเภทแรกนี้จึงเป็นผู้บริสุทธิ์บางส่วน
สรุปการละสังโยชน์เบื้องต่ำของพระอริยบุคคล 3 ประเภทแรกได้ดังนี้
- พระโสดาบัน ละสังโยชน์ได้ 3 ยังเหลือ 7
- พระสกทาคามี ละสังโยชน์ได้ 3 ยังเหลือ 7
- พระอนาคามี ละสังโยชน์ได้ 5 ยังเหลือ 5
นิปปริยายสุทธิ
นิปปริยายสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง บริสุทธิ์หมดจดอย่างแท้จริง หมายถึง ความบริสุทธิ์ที่เกิดจากการละกิเลสได้ทั้งหมดโดยไม่หลงเหลืออยู่อีกเลยแม้แต่นิดเดียว หมายเอาความบริสุทธิ์ของพระอริยบุคคลประเภทที่ 4 คือ พระอรหันต์
เพราะพระอรหันต์สามารถละกิเลสสังโยชน์ได้หมดจดทุกประการ ไม่มีกิเลสตัวใดหลงเหลืออยู่ในขันธสันดานอีกต่อไป จึงถือว่าหมดกิจหมดภาระในการที่จะต้องเพียรพยายามเพื่อละกิเลสแล้ว พระอรหันต์จึงได้ชื่อว่าผู้บริสุทธิ์หมดจดอย่างสิ้นเชิง
สังโยชน์เบื้องสูง 5 ประการที่พระอรหันต์สามารถละได้เพิ่มเติม คือ
- รูปราคะ ความกำหนัดในรูปภพ
- อรูปราคะ ความกำหนัดในอรูปภพ
- มานะ ความถือตัว
- อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
- อวิชชา ความไม่รู้