ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก พ.ศ. 2548

ถาม การสำรวมจิตให้พ้นจากบ่วงแห่งมาร ในธรรมวิจารณ์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้อย่างไร ? และถ้าจะจัดเข้าในไตรสิกขา จัดได้อย่างไร ?

ตอบ แนะนำวิธีปฏิบัติไว้ 3 ประการ คือ

  1. สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา
  2. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ อสุภะและกายคตาสติหรืออันยังจิตให้สลด คือมรณัสสติ
  3. เจริญวิปัสสนา คือ พิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐานเห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ จัดเข้าในไตรสิกขาได้ดังนี้
    • ประการที่ 1 จัดเข้าในสีลสิกขา
    • ประการที่ 2 จัดเข้าในจิตตสิกขา
    • ประการที่ 3 จัดเข้าในปัญญาสิกขา ฯ

ถาม อนิจจตาแห่งสังขารทั้งหลาย จะกำหนดรู้ได้ด้วยวิธีใดบ้าง ?

ตอบ

1. กำหนดรู้ในทางง่าย ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นในเบื้องปลาย ได้ในบาลีว่า

อนิจฺจา วต สงฺขารา          อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ

2. กำหนดรู้ในทางละเอียดกว่านั้นด้วยความแปรในระหว่างเกิดและดับ ได้ในบาลีว่า

อจฺเจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย
วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ

กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป

3. กำหนดรู้ในทางสุขุม ด้วยความแปรแห่งสังขารในชั่วขณะหนึ่ง ๆ คือ ไม่คงที่อยู่นานเพียงระยะกาลนิดเดียวก็แปรแล้ว ได้ในคาถาวิสุทธิมรรค ว่า

ชีวิตํ อตฺตภาโว จ         สุขทุกฺขา จ เกวลา
เอกจิตฺตสมา ยุตฺตา     ลหุโส วตฺตเต ขโณ

ชีวิต อัตภาพ และสุขทุกข์ ทั้งมวล ประกอบกัน เป็นธรรมเสมอด้วยจิตดวงเดียว ขณะย่อมเป็นไปพลัน ฯ


ถาม สภาวทุกข์และปกิณณกทุกข์ คือทุกข์เช่นไร ?

ตอบ

  • สภาวทุกข์ คือทุกข์ประจำสังขาร ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ ฯ
  • ปกิณณกทุกข์ คือ ทุกข์จรได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ฯ

ถาม พระพุทธพจน์ว่า “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ” สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี จะไม่เป็นการปฏิเสธสุขอย่างอื่นไปทั้งหมดหรือ ? จงอธิบาย

ตอบ ไม่เป็นการปฏิเสธเสียทีเดียว เช่นทรงแสดงถึงสุขของคฤหัสถ์ 4 อย่างไว้เป็นต้น แต่สุขอย่างอื่นนั้นยังเจือไปด้วยทุกข์อยู่ ยังไม่ใช่สุข ไม่อาจจะนับว่าเป็นสุขที่แท้จริงได้ มีแต่ความสงบเท่านั้นที่เป็นสุขอย่างแท้จริง เพราะไม่เจือไปด้วยความทุกข์ ฉะนั้นสุขที่ยิ่งกว่าความสงบจึงไม่มี ฯ


ถาม สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร ? ปัจจุบันภพนั้น เกี่ยวเนื่องกับสัมปรายภพอย่างไร ?

ตอบ สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็น 2 คือ ถ้าทำดี คือ ประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ก็ไปสู่สุคติ ถ้าทำไม่ดี คือประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ก็ไปสู่ทุคติ ฯ จิตดีชั่วในปัจจุบัน ย่อมเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในสัมปรายภพ ภูมิและภพในภายภาคหน้าขึ้นอยู่กับภูมิและภพชั้นของจิตในปัจจุบันนี้แหละ ดังมีหลักธรรมในอุเทศบาลีแสดงว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง และว่า เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้


ถาม บุคคลผู้ถูกนิวรณ์ 5 ครอบงำ พึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไรบ้าง ?

ตอบ

  • ถูกกามฉันทะครอบงำ พึงแก้ด้วยอสุภกัมมัฏฐานหรือกายคตาสติ
  • ถูกพยาบาทครอบงำ พึงแก้ด้วยเมตตาพรหมวิหาร
  • ถูกถีนมิทธะครอบงำ พึงแก้ด้วยอนุสสติกัมมัฏฐาน
  • ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ พึงแก้ด้วยกสิณหรือมรณัสสติ
  • ถูกวิจิกิจฉาครอบงำ พึงแก้ด้วยธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ

ถาม ผู้เจริญเมตตาพรหมวิหาร ท่านสอนให้แผ่ไปในตนก่อนนั้น มีความมุ่งหมายอย่างไร ?

ตอบ มีความมุ่งหมายอย่างนี้ ให้ทำตนเป็นพยานว่า ตนนี้อยากได้แต่ความสุข เกลียดชังทุกข์และภัยต่าง ๆ ฉันใด แม้สัตว์ทั้งหลาย ก็อยากได้สุข เกลียดชังทุกข์และภัยต่าง ๆ ฉันนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตก็ปรารถนาจะให้สัตว์ทั้งสิ้น มีความสุขความเจริญ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงให้แผ่เมตตาจิตไปในตนก่อน ฯ


ถาม พระพุทธคุณบทว่า “สตฺถา เทวมนุสฺสานํ” เมื่อกล่าวถึงพุทธจรรยาในส่วนที่ทรงสั่งสอนมหาชน ประมวลลงเป็นข้อได้อย่างไรบ้าง ?

ตอบ ประมวลลงได้อย่างนี้

  1. ทรงพระกรุณาหวังจะให้ผู้ที่ทรงสั่งสอน ได้ความรู้อันจะให้สำเร็จประโยชน์
  2. ทรงมุ่งความจริงกับประโยชน์เป็นที่ตั้ง
  3. ทรงทำกับตรัสเป็นอย่างเดียวกัน
  4. ทรงฉลาดในวิธีสั่งสอน ฯ

ถาม ในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระพุทธองค์ทรงแสดงวิธีพิจารณาสติสัมโพชฌงค์ไว้ด้วยอาการอย่างไร ?

ตอบ ด้วยอาการอย่างนี้ คือ เมื่อสติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่ามีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา เมื่อไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่าไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา เมื่อยังไม่เกิด แต่จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วเจริญบริบูรณ์ขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น ฯ


ถาม ข้อว่า อนัตตสัญญา ในคิริมานนทสูตร ทรงให้ยกธรรมอะไรขึ้นพิจารณาว่าเป็นอนัตตา ?

ตอบ ทรงให้ยกอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ขึ้นพิจารณาว่าเป็นอนัตตา ฯ