ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก พ.ศ. 2547

ถาม กิเลสกามและวัตถุกาม ได้แก่อะไร ? อย่างไหนจัดเป็นมารและเป็นบ่วงแห่งมาร ? เพราะเหตุไร ?

ตอบ

กิเลสกาม ได้แก่ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ กล่าวคือตัณหาความทะยานอยาก ราคะ ความกำหนัด อรติ ความขึ้งเคียด เป็นต้น จัดเป็นมาร เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน ฯ

วัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ จัดเป็นบ่วงแห่งมาร เพราะเป็นอารมณ์ผูกใจให้ติดแห่งมาร ฯ


ถาม พระบรมศาสดาทรงแสดงอานิสงส์แห่งวิปัสสนาไว้ในอนัตตลักขณสูตรอย่างไร ?

ตอบ ทรงแสดงไว้ว่า เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก เป็นต้น ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมฟอกจิตให้หมดจด เพราะการฟอกจิตให้หมดจดได้ จิตนั้นก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง เมื่อจิตพ้นพิเศษแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า พ้นแล้ว และเธอรู้ประจักษ์ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์คือกิจพระศาสนาได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเช่นนี้ไม่มีอีก ฯ


ถาม ไตรลักษณ์ ที่ว่าเห็นได้ยากนั้น เพราะอะไรปิดบังไว้ ? ผู้พิจารณาเห็นอนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้รับอานิสงส์อย่างไร ?

ตอบ

อนิจจตา มีสันตติ ความสืบต่อแห่งนามรูป ปิดบังไว้ ทุกขตา มีอิริยาบถ ความผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ ปิดบังไว้ อนัตตตา มีฆนสัญญา ความสำคัญเห็นเป็นก้อน ปิดบังไว้ ฯ

ผู้พิจารณาเห็นอนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้รับอานิสงส์ คือเพิกถอนสันตติได้ ทำให้เห็นความเกิดขึ้นและความดับไป ความไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลายด้วยปัญญาอันชอบ ย่อมเบื่อหน่ายในสังขารอันเป็นทุกข์ ดำเนินไปในหนทางแห่งความบริสุทธิ์ ฯ


ถาม ความเกิด ความแก่ และความตาย จัดเข้าในทุกข์หมวดไหน ? โดยรวบยอด ทุกข์ที่แสดงในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ได้แก่ทุกข์เช่นไร ?

ตอบ

  • ความเกิด ความแก่ และความตาย จัดเข้าในสภาวทุกข์ คือ ทุกข์ประจำสังขาร ฯ
  • โดยรวบยอด ทุกข์ที่แสดงในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ได้แก่ อุปาทานขันธ์ 5 ฯ

ถาม จริตของคนในโลกนี้มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ? คนสูงอายุมีความกังวลนอนไม่หลับ เพราะคิดห่วงลูกหลานเป็นต้น จัดเป็นคนมีจริตอะไร ? กัมมัฏฐานข้อใดเป็นที่สบายแก่คนจริตนั้น ?

ตอบ

  • จริตของคนในโลกนี้มี 6 ประเภท ฯ คือ ราคะจริต 1 โทสะจริต 1 โมหะจริต 1 วิตกจริต 1 สัทธาจริต 1 พุทธิจริต 1 ฯ
  • คนสูงอายุมีความกังวลนอนไม่หลับ เพราะคิดห่วงลูกหลานเป็นต้น จัดเป็นคนมีวิตกจริต ฯ
  • กัมมัฏฐานอันเป็นที่สบายแก่คนจริตนั้น คือ อานาปานสติ หรือ กสิณ ฯ

ถาม ในอนุสสติ 10 ข้อว่า มรณัสสติ ไม่ใช้ว่า มรณานุสสติ เพราะเหตุไร ?

ตอบ ที่ไม่ใช้อย่างนั้น ก็เพราะท่านสอนให้ผู้พิจารณาเห็นปรากฏชัดเป็นปัจจุบันธรรม จะได้เกิดความไม่ประมาท เป็นผู้แกล้วกล้าไม่ย่อท้อต่อความตาย หากจะไปเหนี่ยวรั้งเอาความตายที่ล่วงมาแล้วยกขึ้นพิจารณา ในบางขณะอาจเกิดความกลัวตายขึ้นก็ได้ ฯ


ถาม พระพุทธคุณบทว่า สุคโต นั้น เป็นพระคุณส่วนอัตตสมบัติ และส่วนปรหิตปฏิบัติอย่างไร ? จงอธิบาย

ตอบ

พระคุณส่วนอัตตสมบัติ คือ เสด็จออกผนวชไม่ย่อท้อ เสด็จดำเนินไปตามอัฏฐังคิกมรรคเป็นมัชฌิมาปฏิปทา มิได้ทรงกลับคืนมาสู่อำนาจกิเลสที่พระองค์ทรงละได้แล้ว จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เสด็จไปในที่ใด ก็ทรงไม่มีอันตรายใดจักเกิดแก่พระองค์ได้ เสด็จไปกลับได้โดยสวัสดี ฯ

พระคุณส่วนปรหิตปฏิบัติ คือ เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่างๆ เทศนาโปรดมหาชนให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ให้ได้รับประโยชน์ทั้งปัจจุบัน อนาคต และประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน อนึ่ง ทรงมีพระวาจาดี คือทรงกล่าวแต่คำที่จริงที่แท้ ประกอบด้วยประโยชน์แก่บุคคลที่ควรกล่าว เสด็จไประงับอันตรายด้วยความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ปวงชน แม้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ทรงฝากรอยจารึก คือพระคุณความดีในโลก ดุจฝนตกลงยังพืชให้เผล็ดผล เป็นประโยชน์แก่คนและสัตว์ผู้พึ่งแผ่นดิน ฯ


ถาม กิจ เหตุ และผลของวิปัสสนา ได้แก่อะไร ?

ตอบ

  • กิจ ได้แก่ การกำจัดความมืดคือโมหะ อันปิดบังปัญญาไว้ ไม่ให้เห็นตามความเป็นจริง
  • เหตุ ได้แก่ การที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน
  • ผล ได้แก่ การเห็นสังขารตามความเป็นจริง ฯ

ถาม วิปัลลาสข้อว่า “ วิปัลลาสในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ” จะถอนได้ด้วยสัญญาอะไร ในสัญญา 10 ? ใจความว่าอย่างไร ?

ตอบ จะถอนได้ด้วยอาทีนวสัญญา ฯ ใจความว่า ภิกษุย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า กายอันนี้แล มีทุกข์มาก มีโทษมาก เหล่าอาพาธต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นในกายนี้


ถาม ในมหาสติปัฏฐานสูตร สติปัฏฐาน 4 มีชื่อเรียกอีกอย่างว่ากระไร ? สติปัฏฐาน 4 นั้น มีอานิสงส์อย่างไรบ้าง ?

ตอบ

สติปัฏฐาน 4 มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เอกายนมรรค ฯ

สติปัฏฐาน 4 นั้น มีอานิสงส์ 5 ประการ คือ

  1. เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย
  2. เพื่อความข้ามพ้นโสกะและปริเทวะ
  3. เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
  4. เพื่อบรรลุธรรมที่ควรรู้
  5. เพื่อการทำให้แจ้งพระนิพพาน ฯ