ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก พ.ศ. 2546

ถาม บาลีแสดงปฏิปทาแห่งนิพพิทาว่า เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ผู้ใดสำรวมจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร

  1. คำว่า “ บ่วงแห่งมาร ” ได้แก่อะไร ?
  2. อาการสำรวมจิต คืออย่างไร ?

ตอบ

  1. คำว่า “บ่วงแห่งมาร” ได้แก่วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าชอบใจ ฯ
  2. อาการสำรวมจิตมี 3 ประการ คือ
    • สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา
    • มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันท์ คือ อสุภและกายคตาสติ หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณสติ
    • เจริญวิปัสสนา คือพิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐานเห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ

ถาม นิพัทธทุกข์ หมายถึงทุกข์อย่างไร ?

ตอบ หมายถึง ทุกข์เนืองนิตย์ หรือทุกข์เป็นเจ้าเรือน ได้แก่ หนาว ร้อน หิว ระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ฯ

ถาม ในทุกข์ 10 อย่าง ความร้อนใจ หรือความถูกลงอาชญา จัดเป็นทุกข์เช่นไร ?

ตอบ จัดเป็นวิปากทุกข์ ฯ


ถาม ในวิมุตติ 5 อย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตตระ ?

ตอบ

  • ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ เป็นโลกิยะ
  • สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ เป็นโลกุตตระ ฯ

ถาม พระบาลีว่า “ ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ บุคคลย่อมหมดจดด้วยปัญญา ” มีอธิบายอย่างไร ?

ตอบ มีอธิบายว่า บุคคลทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่ ฯ


ถาม เนื้อความในภารสูตรว่า “ ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ” ถามว่า

  1. คำว่า “ ภาระอันหนัก ” ได้แก่อะไร ?
  2. การถือและการปลงภาระอันหนักนั้น หมายถึงอะไร ?

ตอบ

  1. ภาระอันหนัก ได้แก่ ปัญจขันธ์ ฯ
  2. การถือ หมายถึง การถือด้วยอุปาทาน การปลง หมายถึง การถอนอุปาทาน ฯ

ถาม คติ คือภูมิเป็นที่ไปของสัตว์ผู้ตายแล้ว เป็นอย่างไร ?

ตอบ เป็น 2 คือ ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว 1 สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี 1 ฯ

ถาม มีบาลีแสดงอุทเทสเกี่ยวกับคตินั้น ว่าอย่างไร ?

ตอบ มีบาลีแสดงอุทเทสว่า ดังนี้

  1. จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง
  2. จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฯ

ถาม พระบรมศาสดาทรงชักนำบุคคลให้บำเพ็ญสมาธิ เพราะทรงเห็นประโยชน์อย่างไร ?

ตอบ เพราะทรงเห็นว่า จิตใจของบุคคลเมื่อได้อบรมดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่ ย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง ดังพระบาลีว่า สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามเป็นจริง ฯ

ถาม พระพุทธจรรยาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการทรงแสดงธรรมเร้าใจนั้น ด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?

ตอบ ด้วยอาการ 4 คือ

  1. สนฺทสฺสนา อธิบายให้เห็นแจ่มแจ้ง ให้เข้าใจชัด
  2. สมาทปนา ชวนให้มีแก่ใจสมาทาน คือทำตาม
  3. สมุตฺเตชนา ชักนำให้เกิดอุตสาหะอาจหาญเพื่อจะทำ
  4. สมฺปหํสนา พยุงให้ร่าเริงในอันทำ ฯ

ถาม บุคคลในโลกนี้ เมื่อจัดตามจริต มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?

ตอบ มี 6 ประเภท คือ

  • คนราคจริต 1
  • คนโทสจริต 1
  • คนโมหจริต 1
  • คนสัทธาจริต 1
  • คนพุทธิจริต 1
  • คนวิตักกจริต 1 ฯ

ถาม นิวรณ์ 5 อย่างไหนสงเคราะห์เข้าในจริตอะไร ?

ตอบ

  • กามฉันท์ สงเคราะห์เข้าในราคจริต
  • พยาบาท สงเคราะห์เข้าในโทสจริต
  • ถีนมิทธะ สงเคราะห์เข้าในโมหจริต
  • อุทธัจจกุกกุจจะ สงเคราะห์เข้าในวิตักกจริต
  • วิจิกิจฉา สงเคราะห์เข้าในโมหจริต ฯ

ถาม ปริยัติธรรม หมายถึงอะไร ? ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตุไร ?

ตอบ หมายถึง พุทธวจนะทั้งสิ้น ฯ ที่ได้ชื่อว่าปริยัติธรรม เพราะเป็นธรรมต้องเล่าเรียนศึกษาให้รู้รอบคอบด้วยดี ฯ

ถาม ธรรมทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ มีคุณโดยย่ออย่างไร ?

ตอบ มีคุณโดยย่ออย่างนี้

  • ปริยัติธรรม มีคุณคือ ให้รู้วิธีบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา
  • ปฏิบัติธรรม มีคุณคือ ทำกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์จนบรรลุมรรค ผล นิพพาน
  • ปฏิเวธธรรม คือ มรรค ผล นิพพาน มรรคผลนั้น มีคุณคือ ละกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ส่วนนิพพาน มีคุณคือ ดับเพลิงกิเลสและกองทุกข์ได้ทั้งหมด ฯ

ถาม ความกำหนดรู้อย่างไร จัดเป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ?

ตอบ ความกำหนดรู้ว่า สังขารทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ฯ

ถาม ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา พึงรู้ฐานะทั้ง 6 ก่อน ฐานะทั้ง 6 นั้น คืออะไรบ้าง ?

ตอบ ฐานะทั้ง 6 คือ

  • อนิจจะ ของไม่เที่ยง 1
  • อนิจจลักษณะ เครื่องหมายที่จะกำหนดรู้ว่าไม่เที่ยง 1
  • ทุกขะ ของที่สัตว์ทนยาก 1
  • ทุกขลักษณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ 1
  • อนัตตา สภาวะมิใช่ตัวมิใช่ตน 1
  • อนัตตลักษณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา 1 ฯ

ถาม พระคิริมานนท์หายจากอาพาธหนัก เพราะฟังธรรมอะไร ? ใครเป็นผู้แสดง ?

ตอบ เพราะฟังคิริมานนทสูตร ฯ พระอานนทเถระ เป็นผู้แสดง ฯ

ถาม ข้อว่า “ สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจสญฺญา ความจำหมายความไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง ” มีใจความว่าอย่างไร ?

ตอบ มีใจความว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมระอา ย่อมเกลียดชัง แต่สังขารทั้งปวง ฯ