ปัญหาข้อที่ 1
ถาม บาลีแสดงปฏิปทาแห่งนิพพิทาว่า เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ผู้ใดสำรวมจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร
- คำว่า “ บ่วงแห่งมาร ” ได้แก่อะไร ?
- อาการสำรวมจิต คืออย่างไร ?
ตอบ
- คำว่า “บ่วงแห่งมาร” ได้แก่วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าชอบใจ ฯ
- อาการสำรวมจิตมี 3 ประการ คือ
- สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา
- มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันท์ คือ อสุภและกายคตาสติ หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณสติ
- เจริญวิปัสสนา คือพิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐานเห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ
ปัญหาข้อที่ 2
ถาม นิพัทธทุกข์ หมายถึงทุกข์อย่างไร ?
ตอบ หมายถึง ทุกข์เนืองนิตย์ หรือทุกข์เป็นเจ้าเรือน ได้แก่ หนาว ร้อน หิว ระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ฯ
ถาม ในทุกข์ 10 อย่าง ความร้อนใจ หรือความถูกลงอาชญา จัดเป็นทุกข์เช่นไร ?
ตอบ จัดเป็นวิปากทุกข์ ฯ
ปัญหาข้อที่ 3
ถาม ในวิมุตติ 5 อย่างไหนเป็นโลกิยะ อย่างไหนเป็นโลกุตตระ ?
ตอบ
- ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ เป็นโลกิยะ
- สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ เป็นโลกุตตระ ฯ
ถาม พระบาลีว่า “ ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ บุคคลย่อมหมดจดด้วยปัญญา ” มีอธิบายอย่างไร ?
ตอบ มีอธิบายว่า บุคคลทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่ ฯ
ปัญหาข้อที่ 4
ถาม เนื้อความในภารสูตรว่า “ ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ” ถามว่า
- คำว่า “ ภาระอันหนัก ” ได้แก่อะไร ?
- การถือและการปลงภาระอันหนักนั้น หมายถึงอะไร ?
ตอบ
- ภาระอันหนัก ได้แก่ ปัญจขันธ์ ฯ
- การถือ หมายถึง การถือด้วยอุปาทาน การปลง หมายถึง การถอนอุปาทาน ฯ
ปัญหาข้อที่ 5
ถาม คติ คือภูมิเป็นที่ไปของสัตว์ผู้ตายแล้ว เป็นอย่างไร ?
ตอบ เป็น 2 คือ ทุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว 1 สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี 1 ฯ
ถาม มีบาลีแสดงอุทเทสเกี่ยวกับคตินั้น ว่าอย่างไร ?
ตอบ มีบาลีแสดงอุทเทสว่า ดังนี้
- จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง
- จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฯ
ปัญหาข้อที่ 6
ถาม พระบรมศาสดาทรงชักนำบุคคลให้บำเพ็ญสมาธิ เพราะทรงเห็นประโยชน์อย่างไร ?
ตอบ เพราะทรงเห็นว่า จิตใจของบุคคลเมื่อได้อบรมดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่ ย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง ดังพระบาลีว่า สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามเป็นจริง ฯ
ถาม พระพุทธจรรยาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการทรงแสดงธรรมเร้าใจนั้น ด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?
ตอบ ด้วยอาการ 4 คือ
- สนฺทสฺสนา อธิบายให้เห็นแจ่มแจ้ง ให้เข้าใจชัด
- สมาทปนา ชวนให้มีแก่ใจสมาทาน คือทำตาม
- สมุตฺเตชนา ชักนำให้เกิดอุตสาหะอาจหาญเพื่อจะทำ
- สมฺปหํสนา พยุงให้ร่าเริงในอันทำ ฯ
ปัญหาข้อที่ 7
ถาม บุคคลในโลกนี้ เมื่อจัดตามจริต มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?
ตอบ มี 6 ประเภท คือ
- คนราคจริต 1
- คนโทสจริต 1
- คนโมหจริต 1
- คนสัทธาจริต 1
- คนพุทธิจริต 1
- คนวิตักกจริต 1 ฯ
ถาม นิวรณ์ 5 อย่างไหนสงเคราะห์เข้าในจริตอะไร ?
ตอบ
- กามฉันท์ สงเคราะห์เข้าในราคจริต
- พยาบาท สงเคราะห์เข้าในโทสจริต
- ถีนมิทธะ สงเคราะห์เข้าในโมหจริต
- อุทธัจจกุกกุจจะ สงเคราะห์เข้าในวิตักกจริต
- วิจิกิจฉา สงเคราะห์เข้าในโมหจริต ฯ
ปัญหาข้อที่ 8
ถาม ปริยัติธรรม หมายถึงอะไร ? ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตุไร ?
ตอบ หมายถึง พุทธวจนะทั้งสิ้น ฯ ที่ได้ชื่อว่าปริยัติธรรม เพราะเป็นธรรมต้องเล่าเรียนศึกษาให้รู้รอบคอบด้วยดี ฯ
ถาม ธรรมทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ มีคุณโดยย่ออย่างไร ?
ตอบ มีคุณโดยย่ออย่างนี้
- ปริยัติธรรม มีคุณคือ ให้รู้วิธีบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา
- ปฏิบัติธรรม มีคุณคือ ทำกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์จนบรรลุมรรค ผล นิพพาน
- ปฏิเวธธรรม คือ มรรค ผล นิพพาน มรรคผลนั้น มีคุณคือ ละกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ส่วนนิพพาน มีคุณคือ ดับเพลิงกิเลสและกองทุกข์ได้ทั้งหมด ฯ
ปัญหาข้อที่ 9
ถาม ความกำหนดรู้อย่างไร จัดเป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ?
ตอบ ความกำหนดรู้ว่า สังขารทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ฯ
ถาม ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา พึงรู้ฐานะทั้ง 6 ก่อน ฐานะทั้ง 6 นั้น คืออะไรบ้าง ?
ตอบ ฐานะทั้ง 6 คือ
- อนิจจะ ของไม่เที่ยง 1
- อนิจจลักษณะ เครื่องหมายที่จะกำหนดรู้ว่าไม่เที่ยง 1
- ทุกขะ ของที่สัตว์ทนยาก 1
- ทุกขลักษณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ 1
- อนัตตา สภาวะมิใช่ตัวมิใช่ตน 1
- อนัตตลักษณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา 1 ฯ
ปัญหาข้อที่ 10
ถาม พระคิริมานนท์หายจากอาพาธหนัก เพราะฟังธรรมอะไร ? ใครเป็นผู้แสดง ?
ตอบ เพราะฟังคิริมานนทสูตร ฯ พระอานนทเถระ เป็นผู้แสดง ฯ
ถาม ข้อว่า “ สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจสญฺญา ความจำหมายความไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง ” มีใจความว่าอย่างไร ?
ตอบ มีใจความว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมระอา ย่อมเกลียดชัง แต่สังขารทั้งปวง ฯ