ปัญหาข้อที่ 1
ถาม ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สำเร็จด้วยญาณอะไร ? เพราะเหตุไร ?
ตอบ ด้วยอาสวักขยญาณ ฯ เพราะอาสวักขยญาณ คือความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ คือ เครื่องเศร้าหมองอันหมักหมมในจิตสันดาน ฯ
ถาม พระพุทธองค์ ครั้นตรัสรู้แล้ว ทรงเปล่งพระอุทานในยามสุดท้าย มีความว่าอย่างไร ?
ตอบ มีความว่า “ เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดเสนามาร คือชรา พยาธิ มรณะ เสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัย กำจัดมืดทำอากาศให้สว่างขึ้นฉะนั้น ” ฯ
ปัญหาข้อที่ 2
ถาม พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแรก ? ทรงเห็นประโยชน์อะไรจึงทรงประดิษฐาน ณ ที่นั้น ?
ตอบ ที่ กรุงราชคฤห์ ฯ เพราะทรงเห็นว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่ง และมีศาสดาเจ้าลัทธิมาก ถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้แล้ว การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดาเจ้าลัทธิต่างๆ นั้น ล้วนมีศิษยานุศิษย์มาก ผู้คนนับถือมาก ด้วยเหตุนี้จึงทรงเลือกเมืองนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ
ถาม การที่พระพุทธองค์ทรงสามารถประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้มั่นคง เพราะทรงสั่งสอนโดยอาการอย่างไรบ้าง ?
ตอบ โดยอาการ 3 อย่าง คือ
- ทรงสั่งสอนให้ผู้ฟังรู้ยิ่ง เห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น
- ทรงสั่งสอนมีเหตุมีผลที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้
- ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ที่ผู้ปฏิบัติตาม ย่อมได้รับผลโดยสมควรแก่การปฏิบัติ ฯ
ปัญหาข้อที่ 3
ถาม ความปรารถนาของพระเจ้าพิมพิสารข้อที่ 5 ความว่าอย่างไร ?
ตอบ ความว่า “ขอให้ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมของพระอรหันต์” ฯ
ถาม ความปรารถนานั้นสำเร็จแก่พระองค์เมื่อไร ? ที่ไหน ?
ตอบ สำเร็จบริบูรณ์ในวันที่ได้ฟังอนุปุพพีกถาและอริยสัจ 4 ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโปรด จนได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ ที่สวนตาลหนุ่ม ฯ
ปัญหาข้อที่ 4
ถาม พระวาจาที่พระมหาบุรุษทรงเปล่งในวันประสูตินั้น เรียกว่าอะไร ? ใจความโดยย่ออย่างไร ?
ตอบ เรียกว่า อาสภิวาจา ฯ ใจความย่อว่า “ เราเป็นผู้เลิศเป็นยอดแห่งโลก เราเป็นผู้เจริญผู้ใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ความบังเกิดชาตินี้มี ณ ที่สุด บัดนี้ ความบังเกิดอีกมิได้มี ” ฯ
ถาม พระพุทธกิจ 5 อย่าง มีอะไรบ้าง ? ข้อไหนที่ทรงบำเพ็ญเป็นนิจตราบเท่าปรินิพพาน ?
ตอบ มี 5 อย่าง ฯ คือ
- เวลาเช้า เสด็จออกบิณฑบาต
- เวลาเย็น ทรงแสดงธรรม
- เวลาย่ำค่ำ ทรงโอวาทภิกษุ
- เวลาเที่ยงคืน ทรงตอบปัญหาเทวดา
- เวลาย่ำรุ่ง ทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ ฯ ยกเว้นข้อเสด็จออกบิณฑบาต นอกนั้นทรงบำเพ็ญเป็นนิจ ตราบเท่าปรินิพพาน ฯ
ปัญหาข้อที่ 5
ถาม โอวาทปาฏิโมกข์ทรงแสดงที่ไหน ? เมื่อไร ?
ตอบ ที่เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ ฯ เมื่อวันเพ็ญเดือน 3 ฯ
ถาม ข้อที่ทรงยกขันติขึ้นตรัสในโอวาทปาฏิโมกข์นั้น หมายความว่าอย่างไร ?
ตอบ หมายความว่า ศาสนธรรมคำสอนของพระองค์เป็นไปเพื่อให้อดทนต่อเย็น ร้อน หิวระหาย ถ้อยคำให้ร้าย ใส่ความ ด่าว่า และทุกขเวทนาอันแรงกล้าเกิดแต่อาพาธ ฯ
ปัญหาข้อที่ 6
ถาม อุปติสสปริพาชก เมื่อได้ฟังธรรมโดยย่อจากพระอัสสชิเถระแล้ว มีความเข้าใจในเนื้อความแห่งธรรมนั้นว่าอย่างไร ?
ตอบ ว่าอย่างนี้คือ “ ธรรมทั้งปวงเกิดแต่เหตุ และจะสงบระงับไป เพราะเหตุดับก่อน พระศาสดา ทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติ เพื่อสงบระงับเหตุแห่งธรรมเป็นเครื่องก่อให้เกิดทุกข์ ” ฯ
ถาม ครั้งพุทธกาล กุลบุตรผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนาขออนุญาตบวชจากมารดาบิดา เมื่อไม่ได้รับอนุญาตก็เสียใจ จึงทำการประท้วง กุลบุตรผู้นั้นคือใคร ? ประท้วงด้วยวิธีใด ?
ตอบ กุลบุตรผู้นั้น คือพระรัฐบาล ฯ ประท้วงด้วยวิธีนอนไม่ลุกขึ้น และอดอาหาร ฯ
ปัญหาข้อที่ 7
ถาม อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีนามเดิมว่าอะไร ?
ตอบ สุทัตตะ ฯ
ถาม ท่านได้บรรลุคุณวิเศษอะไรในพระพุทธศาสนา ?
ตอบ โสดาปัตติผล ฯ
ปัญหาข้อที่ 8
ถาม ผู้ได้นามว่า “ ภัทเทกรัตตะ ” ผู้มีราตรีเดียวเจริญ เพราะประพฤติเช่นไร ?
ตอบ เพราะเป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน อยู่ด้วยความไม่ประมาท ฯ
ถาม พระเถระรูปใดได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เข้าใจอธิบายเรื่อง “ ผู้มีราตรีเดียวเจริญ ” นี้ให้พิสดาร ?
ตอบ พระมหากัจจายนเถระ ฯ
ปัญหาข้อที่ 9
ถาม ปัญหาว่า “ หมู่มนุษย์ในโลกนี้ คือ ฤษี กษัตริย์ พราหมณ์ เป็นอันมาก อาศัยอะไร จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ” ใครเป็นผู้ถาม ?
ตอบ ปุณณกมาณพ ฯ
ถาม พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร ?
ตอบ ทรงพยากรณ์ว่า “ หมู่มนุษย์เหล่านั้นอยากได้ของที่ตนปรารถนา อาศัยของที่มีชราทรุดโทรม จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ” ฯ
ปัญหาข้อที่ 10
ถาม พระพุทธดำรัสว่า “ ดูก่อนสุภัททะ ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จะพึงอยู่ดีอยู่ชอบแล้วไซร้ โลกก็จกไม่พึงว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ” ดังนี้ คำว่า “ พระอรหันต์ ” ในที่นี้ หมายถึงใคร ?
ตอบ หมายถึง พระขีณาสวอรหันต์ ฯ
ถาม โทณพราหมณ์ ได้กล่าวสุนทรพจน์ในวันแจกพระบรมสารีริกธาตุ มีใจความย่ออย่างไร ?
ตอบ มีใจความย่อดังนี้
- พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญขันติธรรมและตำหนิในการที่จะทำสงครามกัน
- ชวนให้สามัคคีร่วมใจกัน โดยแบ่งส่วนพระบรมสารีริกธาตุเท่า ๆ กัน ฯ