ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก พ.ศ. 2543

ถาม คำว่า โลก ในพระบาลีว่า “เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ ฯปฯ” หมายถึงอะไร ?

ตอบ คำว่า โลก โดยตรงหมายถึงแผ่นดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย โดยอ้อมหมายถึงหมู่สัตว์ผู้อยู่อาศัย

ถาม พระบรมศาสดาทรงชักชวนให้มาดูโลกนี้โดยมีพระประสงค์อย่างไร ?

ตอบ ทรงมีพระประสงค์ให้พิจารณาดูให้รู้จักของจริง เพราะในโลกที่กล่าวนี้ย่อมมีพร้อมมูลบริบูรณ์ด้วยสิ่งที่มีคุณและโทษ พระบรมศาสดาทรงชักชวนให้มาดูโลก เพื่อให้รู้จักสิ่งที่เป็นจริง จักได้ละสิ่งที่เป็นโทษไม่ข้องติดอยู่ในสิ่งที่เป็นคุณ


ถาม บุคคลเช่นไรชื่อว่าหมกอยู่ในโลก ?

ตอบ บุคคลผู้ไร้พิจารณา ไม่หยั่งเห็นโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ ย่อมระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดในสิ่งอันเป็นอุปการะ ชื่อว่าหมกอยู่ในโลก

ถาม ผู้หมกอยู่ในโลกได้รับผลอย่างไร ?

ตอบ ย่อมได้เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อันสิ่งนั้น ๆ พึงอำนวย แม้สุขก็เป็นเพียงสามิส คือ มีเหยื่อเจือด้วยของล่อใจ เป็นเหตุแห่งความติด ดุจเหยื่อคือมังสะอันเบ็ดเกี่ยวไว้


ถาม นิพพิทาคืออะไร ?

ตอบ นิพพิทา คือความหน่ายในทุกข์

ถาม ปฏิปทาเครื่องดำเนินให้ถึงนิพพิทานั้นอย่างไร ?

ตอบ อย่างนี้คือ พิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ย่อมเกิดนิพพิทา เบื่อหน่ายในทุกขขันธ์ ไม่เพลิดเพลินยึดมั่นหมกมุ่นอยู่ในสังขารอันยั่วยวนเสน่หา


ถาม สังขาร ในอธิบายแห่งปฏิปทาของนิพพิทานั้น ได้แก่อะไร ?

ตอบ ได้แก่ สภาพอันธรรมดาแต่งขึ้น โดยตรงได้แก่เบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันธรรมดาคุมกันเข้าเป็นกายกับใจ

ถาม จะพึงกำหนดรู้สังขารนั้นโดยความเป็นอนัตตาด้วยอาการอย่างไร ?

ตอบ ด้วยอาการอย่างนี้ คือ

  1. ด้วยไม่อยู่ในอำนาจ หรือด้วยฝืนความปรารถนา
  2. ด้วยแย้งต่ออัตตา
  3. ด้วยความเป็นสภาพหาเจ้าของมิได้
  4. ด้วยความเป็นสภาพสูญ คือว่าง หรือหายไป
  5. ด้วยความเป็นสภาวธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย

ถาม วิปากทุกข์ได้แก่ทุกข์อย่างไร ?

ตอบ ได้แก่ วิปฏิสารคือความร้อนใจ การเสวยกรรมกรณ์คือถูกลงอาชญา ความฉิบหาย ความตกยาก และความตกอบาย

ถาม อิฏฐารมณ์ จัดเป็นทุกข์ด้วยหรือไม่ ? ถ้าจัดได้ จัดเข้าในทุกข์หมวดไหน ?

ตอบ อิฏฐารมณ์ จัดเป็นทุกข์ด้วยเหมือนกัน จัดเข้าในหมวดสหคตทุกข์ ทุกข์ไปด้วยกัน


ถาม สมถภาวนา เป็นอุบายสงบระงับจิตอย่างไร ?

ตอบ สมถภาวนา เป็นอุบายเครื่องสำรวมปิดกั้นนีวรณูปกิเลส มิให้เกิดครอบงำจิตสันดานได้ ดังบุคคลปิดทำนบกั้นน้ำไว้มิให้ไหลไปได้ฉะนั้น และเป็นอุบายข่มขี่สะกดจิตไว้มิให้ดิ้นรนฟุ้งซ่านได้ ดังนายสารถีฝึกม้าให้เรียบร้อย ควรเป็นราชพาหนะได้ฉะนั้น

ถาม คนที่มีจิตมักลืมหลง สติไม่มั่นคง ควรเจริญกัมมัฏฐานบทใด ?

ตอบ ควรเจริญอานาปานัสสติ เพราะอานาปานัสสติกัมมัฏฐานนี้เป็นที่สบายของคนที่เป็นโมหจริต


ถาม สันติแปลว่าอะไร ? มีปฏิปทาที่จะดำเนินอย่างไร ?

ตอบ สันติ แปลว่า ความสงบ มีปฏิปทาที่จะดำเนินคือ ปฏิบัติสงบกาย วาจา ใจ จากโทษเวรภัย ละโลกามิส คือเบญจพิธกามคุณ 5 มีสันติเป็นวิหารธรรม

ถาม สันติเป็นโลกิยะ หรือโลกุตตระ ?

ตอบ สันติเป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ


ถาม ผู้จะเจริญกายคตาสติกัมมัฏฐานพึงกำหนดอะไร ?

ตอบ พึงกำหนดพิจารณากายเป็นที่ประชุมแห่งส่วนน่าเกลียดข้างบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นมา ข้างล่างตั้งแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ให้เห็นว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ

ถาม เพราะเหตุใด ตจปัญจกกัมมัฏฐาน ท่านจึงเรียกว่า มูลกัมมัฏฐาน ?

ตอบ ที่เรียกว่ามูลกัมมัฏฐานนั้น เพราะเป็นกัมมัฏฐานเดิมที่กุลบุตรผู้มาบรรพชา ย่อมได้รับสอนกัมมัฏฐานนี้ไว้ก่อนจากพระอุปัชฌาย์ เหมือนดังได้รับมอบศัสตราวุธไว้สำหรับต่อสู้กับข้าศึก คือกามฉันท์ อันจะทำอันตรายแก่พรหมจรรย์


ถาม เจริญมรณัสสติอย่างไรจึงจะแยบคาย ?

ตอบ เจริญพร้อมด้วยองค์ 3 คือ สติ ระลึกถึงความตาย 1 ญาณ รู้ว่าความตายจักมีแก่ตน 1 เกิดสังเวชสลดใจ 1 เจริญอย่างนี้ จึงจะแยบคาย

ถาม อะไรเป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ?

ตอบ ความกำหนดรู้ว่า สังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา เป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา


ถาม สมถะ กับ วิปัสสนา ให้ผลต่างกันอย่างไร ?

ตอบ ให้ผลต่างกันดังนี้ สมถะ ให้ผลอย่างต่ำ ทำให้ระงับนิวรณ์บางอย่างได้ อย่างสูง ทำให้เข้าถึงฌานต่าง ๆ ได้ ส่วนวิปัสสนา ให้ผลอย่างต่ำ ทำให้ได้ปัญญาเห็นสัจจธรรม อย่างสูงทำให้ได้บรรลุอริยผล พ้นจากสังสารทุกข์

ถาม เมื่อจะเจริญกัมมัฏฐานพึงปฏิบัติอย่างไร ?

ตอบ พึงปฏิบัติอย่างนี้ ในชั้นต้นพึงศึกษาให้รู้ว่า กัมมัฏฐานชนิดไหนชั้นใด ในกัมมัฏฐานนั้น ๆ มีความมุ่งหมายเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร ในที่นี้ควรศึกษาให้รู้กัมมัฏฐาน 2 อย่างคือ

  1. สมถกัมมัฏฐาน
  2. วิปัสสนากัมมัฏฐาน