ปัญหาข้อที่ 1
ถาม สงฆ์ผู้ทำสังฆกรรม ท่านจัดเป็นวรรคไว้อย่างไรบ้าง ? แต่ละวรรคทำกรรมอะไรได้บ้าง ?
ตอบ จัดอย่างนี้ คือ
- สงฆ์มีจำนวน 4 รูป เรียกว่า จตุรวรรค
- สงฆ์มีจำนวน 5 รูป เรียกว่า ปัญจวรรค
- สงฆ์มีจำนวน 10 รูป เรียกว่า ทสวรรค
- สงฆ์มีจำนวน 20 รูป เรียกว่า วีสติวรรค
แต่ละวรรคทำกรรมได้ดังนี้
- สังฆกรรมทุกอย่าง เว้นปวารณา ให้ผ้ากฐิน อุปสมบท และอัพภาน สงฆ์จตุรวรรคทำได้
- ปวารณา ให้ผ้ากฐิน อุปสมบทในปัจจันตชนบท สงฆ์ปัญจวรรคทำได้
- อุปสมบทในมัธยมชนบท สงฆ์ทสวรรคทำได้
- อัพภาน สงฆ์วีสติวรรคทำได้
- สงฆ์มีจำนวนมากกว่าที่กำหนดไว้ สามารถทำกรรมประเภทนั้น ๆ ได้
ปัญหาข้อที่ 2
ถาม สีมา คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไร ?
ตอบ คือ เขตประชุมของสงฆ์ผู้ทำสังฆกรรม ฯ มีความสำคัญอย่างนี้ พระศาสดาทรงพระอนุญาตให้สงฆ์พร้อมเพรียงกันทำสังฆกรรมภายในสีมา เพื่อจะรักษาสามัคคีในสงฆ์ อันความสามัคคีย่อมเป็นกำลังใหญ่ของหมู่ ขาดความสามัคคีแล้ว หมู่ย่อมไม่ตั้งถาวร ถ้าไม่มีสีมาก็ไม่มีเขตประชุม สีมาจึงมีความสำคัญอย่างนี้ ฯ
ปัญหาข้อที่ 3
ถาม สงฆ์ผู้มีสิทธิรับผ้ากฐิน ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ? ภิกษุผู้ควรครองผ้ากฐิน พึงมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ? จงบอกมาสัก 5 ข้อ
ตอบ
สงฆ์ผู้มีสิทธิรับผ้ากฐินต้องเป็นผู้จำพรรษามาแล้วถ้วนไตรมาสไม่ขาดในอาวาสเดียวกัน มีจำนวนตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไป ฯ
ภิกษุผู้ควรครองผ้ากฐิน พึงมีคุณสมบัติอย่างนี้ คือ (ให้ตอบเพียง 5 ข้อ ใน 8 ข้อต่อไปนี้)
- รู้จักบุพพกรณ์
- รู้จักถอนไตรจีวร
- รู้จักอธิษฐานไตรจีวร
- รู้จักการกราน
- รู้จักมาติกา คือหัวข้อแห่งการเดาะกฐิน
- รู้จักปลิโพธกังวลเป็นเหตุยังไม่เดาะกฐิน
- รู้จักการเดาะกฐิน
- รู้จักอานิสงส์กฐิน
ปัญหาข้อที่ 4
ถาม ภิกษุถือว่าได้รับอานิสงส์กฐินแล้ว เข้าบ้านในเวลาวิกาลโดยไม่บอกลา ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? เพราะเหตุไร ?
ตอบ ในกรณีที่รับนิมนต์แล้ว ไปในที่นิมนต์ ภายหลังภัตรเข้าบ้านโดยไม่บอกลา ไม่ต้องอาบัติ ซึ่งได้รับยกเว้นด้วยอานิสงส์ที่ว่าเที่ยวไปไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ 6 แห่งอเจลกวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์ ฯ แต่ในกรณีที่ไม่ได้รับนิมนต์ เข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ตามสิกขาบทที่ 3 แห่งรัตนวรรค ในปาจิตติยกัณฑ์ ยกเว้นในกรณีรีบด่วน เช่น ภิกษุถูกงูกัดรีบเข้าไปเพื่อหายาหรือตามหมอ ฯ
ปัญหาข้อที่ 5
ถาม องคสมบัติของภิกษุผู้จะเป็นอุปัชฌาย์ให้อุปสมบท เป็นอาจารย์ให้นิสัย ที่กำหนดไว้ในบาลีมีหลายอย่าง แม้บกพร่องบางอย่างก็ได้ แต่ที่ขาดไม่ได้คือองคสมบัติอะไร ?
ตอบ ที่ขาดไม่ได้ คือ มีพรรษา 10 หรือยิ่งกว่า ฯ
ปัญหาข้อที่ 6
ถาม ในการอุปสมบท คนที่ได้ชื่อว่าลักเพศ ได้แก่คนเช่นไร ?
ตอบ ได้แก่คนถือเพศภิกษุเอาเอง ด้วยตั้งใจจะปลอมเข้าอยู่ในหมู่ภิกษุ ดังคำกล่าวว่า เดียรถีย์ปลอมเข้าอยู่ในหมู่ภิกษุครั้งอโศกรัชกาล ถ้าคนนั้นเป็นแต่สักว่าทรงเพศเพราะเหตุอย่างอื่น เป็นต้นว่าเพื่อหนีภัย ไม่จัดเป็นคนลักเพศ ฯ
ปัญหาข้อที่ 7
ถาม ตัชชนียกรรมและตัสสปาปิยสิกากรรม กรรมไหนสำหรับลงโทษแก่ภิกษุผู้เป็นโจทก์ ? กรรมไหนสำหรับลงโทษแก่ภิกษุผู้เป็นจำเลย? เพราะประพฤติบกพร่องอย่างไร ?
ตอบ
ตัชชนียกรรมสำหรับลงโทษแก่ภิกษุผู้เป็นโจทก์ เพราะจงใจหาความเท็จใส่ภิกษุอื่น ก่ออธิกรณ์ขึ้นในสงฆ์
ตัสสปาปิยสิกากรรมสำหรับลงโทษแก่ภิกษุผู้เป็นจเลย เพราะเป็นผู้จงใจปกปิดความประพฤติเสียหายของตนด้วยการให้การเท็จ ฯ
ปัญหาข้อที่ 8
ถาม วุฏฐานวิธีหมายถึงอะไร ? ในการทำวุฏฐานวิธีแต่ละอย่างนั้น ต้องการสงฆ์จำนวนเท่าไรเป็นอย่างน้อย ?
ตอบ วุฏฐานวิธี หมายถึง ระเบียบวิธีเป็นเครื่องออกจากอาบัติสังฆาทิเสส ฯ อัพภาน ต้องการสงฆ์ 20 รูปเป็นอย่างน้อย นอกนั้นต้องการตั้งงแต่ 4 รูปขึ้นไป ฯ
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์
ปัญหาข้อที่ 9
ถาม คำว่า คณะสงฆ์ และคณะสงฆ์อื่น แห่งมาตรา 5 ทวิ ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์หมายถึงใคร ?
ตอบ
คณะสงฆ์ หมายถึง บรรดาพระภิกษุที่ได้รับบรรพชาอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์ ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตามกฎหมายที่ใช้บังคับก่อนพระราชบัญญัตินี้ ไม่ว่าจะปฏิบัติศาสนกิจในหรือนอกราชอาณาจักร ฯ
คณะสงฆ์อื่น หมายถึง บรรดาบรรพชิตจีนนิกายหรืออนัมนิกาย ฯ
ปัญหาข้อที่ 10
ถาม องค์กรปกครองคณะสงฆ์สูงสุด คืออะไร ? มีการกำหนดองค์ประกอบไว้อย่างไร ?
ตอบ คือ มหาเถรสมาคม ฯ มีการกำหนดองค์ประกอบไว้อย่างนี้ คือ
- สมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการโดยตำแหน่ง
- สมเด็จพระราชาคณะทุกรูป เป็นกรรมการโดยตแหน่ง
- พระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง มีจำนวนไม่เกิน 12 รูปเป็นกรรมการ