ปัญหาข้อที่ 1
ถาม อุทเทสว่า “สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่” จงวิจารณ์ว่า ตอนไหนแสดงปรมัตถปฏิปทา ตอนไหนแสดงปรมัตถ์ ตอนไหนแสดงสังสารวัฏฏ์ ? เพราะเหตุไร ?
ตอบ
- ตอนที่ว่า “สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันตระการดุจราชรถ” แสดงปรมัตถปฏิปทา เพราะประสงค์ให้ดูเพื่อนิพพิทาเป็นต้น
- ตอนที่ว่า “แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่” แสดงปรมัตถ์ เพราะแสดงถึงความรู้ที่เป็นเหตุให้พ้นจากความข้องอยู่ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม อันจะพึงได้ด้วยการปฏิบัติในปรมัตถปฏิปทาโดยลำดับ
- ตอนที่ว่า “ที่พวกคนเขลาหมกอยู่” แสดงสังสารวัฏฏ์ เพราะต้องเวียนท่องเที่ยวไปด้วยความเขลา ฯ
ปัญหาข้อที่ 2
ถาม ข้อว่า ผู้ใดจักระวังจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร ดังนี้ คำว่า มาร และ บ่วงแห่งมาร ได้แก่อะไร ? เพราะเหตุไรจึงชื่ออย่างนั้น ?
ตอบ
- มาร ได้แก่กิเลสกาม คือ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ให้รักให้อยากได้ ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน ฯ
- บ่วงแห่งมาร ได้แก่วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นอารมณ์เครื่องผูกใจใให้ติด ฯ
ปัญหาข้อที่ 3
ถาม ทุกขตา ความเป็นทุกข์แห่งสังขารนั้น กำหนดเห็นด้วยทุกข์กี่หมวด ? วิปากทุกข์ได้แก่ทุกข์เช่นไร ?
ตอบ กำหนดเห็นด้วยทุกข์ 10 หมวด ฯ วิปากทุกข์ ได้แก่ วิปฏิสาร คือความร้อนใจ การเสวยกรรมกรณ์คือถูกลงอาชญา ความฉิบหาย ความตกยาก และความตกอบาย ฯ
ปัญหาข้อที่ 4
ถาม คำว่า สุคติ ในพระบาลีว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
ตอบ คือ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ฯ มี เทวะ 1 มนุษย์ 1 หรือ สุคติ 1 โลกสวรรค์ 1 ฯ
ปัญหาข้อที่ 5
ถาม วิมุตติ ความหลุดพ้นนั้น ตัวหลุดพ้นคืออะไร ? หลุดพ้นจากอะไร ? ตัวรู้ว่าหลุดพ้นคืออะไร ? จงอ้างหลักฐานประกอบด้วย
ตอบ ตัวหลุดพ้นคือจิต ฯ หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ตามพระบาลีว่า กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ ภวาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ อวิชฺชาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะเนื่องด้วยกาม จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะเนื่องด้วยภพ จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะเนื่องด้วยอวิชชา ฯ ญาณเป็นตัวรู้ ตามพระบาลีว่า วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ เมื่อหลุดพ้นแล้ว ญาณว่าหลุดพ้นแล้ว ย่อมมี ฯ
ปัญหาข้อที่ 6
ถาม สันติ ความสงบ เป็นโลกิยะหรือโลกุตตระ ? จงตอบโดยอ้างพระบาลีมาประกอบ
ตอบ
- เป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ
- ที่เป็นโลกิยะได้ในบาลีว่า น หิ รุณฺเณน โสเกน สนฺตึ ปปฺโปติ เจตโส บุคคลย่อมถึงความสงบแห่งจิต ด้วยร้องไห้ ด้วยเศร้าโศกก็หาไม่
- ที่เป็นโลกุตตระได้ในบาลีว่า โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข ผู้เพ่งสันติพึงละโลกามิสเสีย
ปัญหาข้อที่ 7
ถาม นิวรณ์ คืออะไร ? เมื่อจิตถูกนิวรณ์นั้น ๆ ครอบงำ ควรใช้กัมมัฏฐานบทใดเป็นเครื่องแก้ ?
ตอบ นิวรณ์ คือ ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี ฯ
- กามฉันท์ ใช้ อสุภกัมมัฏฐาน หรือกายคตาสติเป็นเครื่องแก้
- พยาบาท ใช้ เมตตา กรุณา มุทิตา พรหมวิหาร 3 ข้อต้นเป็นเครื่องแก้
- ถีนมิทธะ ใช้ อนุสสติกัมมัฏฐาน เป็นเครื่องแก้
- อุทธัจจกุกกุจจะ ใช้ กสิณหรือมรณัสสติเป็นเครื่องแก้
- วิจิกิจฉา ใช้ ธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นเครื่องแก้
ปัญหาข้อที่ 8
ถาม จตุธาตุววัตถานกัมมัฏฐาน คืออะไร ? ผู้เจริญกัมมัฏฐานนี้จะพึงกำหนดพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ คือ ความกำหนดหมายซึ่งธาตุ 4 โดยสภาวะความเป็นเองของธาตุ ฯ พึงกำหนดพิจารณาทั้งกายตนเองและกายผู้อื่นให้เห็นเป็นแต่สักว่าธาตุ และพึงกำหนดให้รู้จักธาตุภายในภายนอกให้เห็นเป็นแต่สักว่าธาตุไป หมดทั้งโลก ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ฯ
ปัญหาข้อที่ 9
ถาม ปัญหาว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญจะหมดไปได้ เมื่อเจริญวิปัสสนาได้ชั้นไหนแล้ว ? เพราะได้พิจารณาเห็นอย่างไร ?
ตอบ ชั้นกังขาวิตรณวิสุทธิ ฯ เพราะได้พิจารณากำหนดรู้จริงเห็นจริงซึ่งนามรูปทั้งเหตุทั้งปัจจัย ข้ามล่วงกังขาในกาลทั้ง 3 เสียได้ ไม่สงสัยว่า เราจุติมาจากไหน เราเป็นอะไร เราจะไปเกิดที่ไหน เป็นต้น ฯ
ปัญหาข้อที่ 10
ถาม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสัญญา 10 กะใคร ? อนิจจสัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนให้พิจารณาธรรมอะไร ?
ตอบ ทรงแสดงกะพระอานนทเถระ ฯ อนิจจสัญญา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนให้พิจารณาขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ