กระทู้ธรรม “อตฺตา หิ ปรมํ ปิโย”

กระทู้ธรรม "อตฺตา หิ ปรมํ ปิโย"

อตฺตา หิ ปรมํ ปิโย

ตนแล เป็นที่รักอย่างยิ่ง

บัดนี้ จักได้อธิบายขยายเนื้อความแห่งกระทู้ธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและประพฤติปฏิบัติ สำหรับผู้สนใจในทางธรรมเป็นลำดับสืบต่อไป

โดยธรรมชาติของมนุษย์เราแล้ว ย่อมรักตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง ปรารถนาความสุขความเจริญให้กับตัวเอง ต้องการให้ตัวเองประสบความสำเร็จ ต้องการให้ตัวเองพ้นจากทุกข์โศกโรคภัย ธรรมดามันเป็นมาอย่างนี้ คงไม่มีใครไม่รักตัวเองเป็นแน่แท้

แต่ประเด็นมันมีอยู่ว่า เมื่อเรารักตัวเองแล้ว เราได้ดูแลรักษาตัวเองอย่างถูกต้องตามหลักธรรมหรือไม่ เพราะถ้าไม่ดูแลรักษาตัวเองให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ก็คงสวนทางกับคำว่า รักตัวเอง

พวกเราทั้งหลายมีความรู้พื้นฐานอยู่แล้วว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” คือถ้าเราทำกรรมไว้อย่างไร เราก็จะได้รับผลอย่างนั้น ก็เราผู้กระทำนี่แหละเป็นผู้ได้

ถ้าเราทำกรรมดีเอาไว้มาก เราก็จะได้รับผลของกรรมดี มีชีวิตที่ดี มีความเป็นอยู่ดี มีความสุขกายสบายใจ เมื่อตายจากโลกนี้ไปก็จะได้ไปสู่สุคติภูมิ

แต่ถ้าเราทำกรรมชั่วเอาไว้มาก เราก็จะได้รับผลของกรรมชั่ว มีชีวิตที่ไม่ดี ความเป็นอยู่ลำบาก มีความทุกข์กายทุกข์ใจ เมื่อตายจากโลกนี้ไปก็จะต้องไปสู่ทุคติภูมิ

ถ้าเรารักตัวเอง เราปรารถนาสิ่งดี ๆ ให้กับตัวเอง เราต้องสร้างคุณงามความดีเอาไว้ให้มาก ๆ สร้างบุญสร้างกุศลเอาไว้ให้มาก ๆ เพื่อที่ว่า ผลของคุณงามความดีที่เราได้สร้างไว้ ผลของบุญกุศลที่เราได้สั่งสมไว้ จะนำพาให้เรามีความเป็นอยู่ที่ดี มีความสุขความเจริญ และมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า สมดังพุทธศาสนสุภาษิตที่มาใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า

สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย

ความสั่งสมขึ้นซึ่งบุญ นำสุขมาให้

บุญ คือ สภาวะที่เป็นสุข เป็นสภาวะที่ชำระจิตใจของคนให้สะอาดจากบาป เมื่อไม่มีบาปอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ จิตใจก็เป็นสุข

เหตุแห่งบุญนั้นมีอยู่ 3 ประการ คือ

  • ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน
  • สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
  • ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา

บุญนั้นเราสามารถทำได้เรื่อย ๆ ทำได้บ่อย ๆ ทำได้มากเท่าที่อยากจะทำและมีกำลังทำ และเมื่อทำมากขึ้น ๆ บุญก็เพิ่มมากขึ้น ๆ เช่นเดียวกัน

เมื่อบุญมากขึ้นเท่าไร ความสุขอันเกิดจากบุญก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น จึงควรสั่งสมบุญเอาไว้ให้มาก ๆ เท่าที่จะทำได้

ความสุขที่เกิดจากการให้ทาน ในปัจจุบันขณะ คือความแช่มชื่นใจ ความอิ่มเอิบใจ ในฐานะที่เป็นผู้ให้ ได้สละสิ่งของเพื่อผู้อื่น ได้กำจัดความตระหนี่ออกจากจิตใจ ได้ทำโลภะให้บรรเทาเบาบางลง ในสัมปรายภพ ผลแห่งทานย่อมอำนวยศุภผลในส่วนของโภคะสมบัติให้

ความสุขที่เกิดจากการรักษาศีลบริสุทธิ์ ในปัจจุบันชาติ คือการได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่น ได้รับความเชื่อใจและการยกย่องชมเชยจากผู้อื่น ในสัมปรายภพ ผลแห่งศีลย่อมอำนวยศุภผลในด้านสุภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ความสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ ความเป็นผู้มีโรคภัยไข้เจ็บน้อย เป็นต้น

ความสุขที่เกิดจากการเจริญภาวนา ในปัจจุบันชาติ คือการได้กำจัดกิเลสให้บรรเทาเบาบางลง ความมีสภาวะจิตที่ผ่องใสปราศจากความมัวหมอง เป็นผู้ห่างไกลจากความทุกข์ทางจิตใจ หากยังไม่สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ในปัจจุบันชาติ ในสัมปรายภพย่อมเข้าถึงสุคติ ไม่ตกต่ำ ไม่ตกไปในที่ชั่ว และภาวนามัยที่สั่งสมมาย่อมเป็นปัจจัยเกื้อกูลแก่การบรรุมรรคผลนิพพานในภายภาคหน้าอีกด้วย

สรุปความว่า ตนเองย่อมเป็นที่รักอย่างยิ่งสำหรับชาวโลกทั้งหลาย คือทุกคนล้วนรักตัวเอง ปรารถนาความสุขความเจริญให้แก่ตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มีใครเลยที่ไม่รักตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เราควรทำก็คือ การสร้างเหตุแห่งความสุขความเจริญให้แก่ตัวเอง นั่นก็คือการสะสมบุญ การสร้างคุณงามความดีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมีกำลังทำได้ เพราะการสะสมบุญเป็นเหตุแห่งความสุขความเจริญ การสะสมบุญเป็นสิ่งที่บุคคลผู้รักตัวเองพึงกระทำ สมดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ยกขึ้นเป็นนิกเขปบท ณ เบื้องต้นว่า

อตฺตา หิ ปรมํ ปิโย

ตนแล เป็นที่รักอย่างยิ่ง

ซึ่งมีอรรถาธิบายดังได้บรรยายมาแล้ว ด้วยประการฉะนี้.



You may also like...