กระทู้ธรรม “สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย”

สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย
ความสั่งสมขึ้นซึ่งบุญ นำสุขมาให้
บัดนี้ จักได้อธิบายขยายเนื้อความแห่งกระทู้ธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและประพฤติปฏิบัติ สำหรับผู้สนใจในทางธรรมเป็นลำดับสืบต่อไป
บุญ คือ สภาวะที่เป็นสุข เป็นสภาวะที่ชำระจิตใจของคนให้สะอาดจากบาป เมื่อไม่มีบาปอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ จิตใจก็เป็นสุข
เหตุแห่งบุญนั้น เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ มีอยู่ 3 ประการ คือ
- ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน
- สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
- ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
บุญนั้นเราสามารถทำได้เรื่อย ๆ ทำได้บ่อย ๆ ทำได้มากเท่าที่อยากจะทำและมีกำลังทำ และเมื่อทำมากขึ้น ๆ บุญก็เพิ่มมากขึ้น ๆ เช่นเดียวกัน
เมื่อบุญมากขึ้นเท่าไร ความสุขอันเกิดจากบุญก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น จึงควรสั่งสมบุญเอาไว้ให้มาก ๆ เท่าที่จะทำได้
ความสุขที่เกิดจากการให้ทาน ในปัจจุบันขณะ คือความแช่มชื่นใจ ความอิ่มเอิบใจ ในฐานะที่เป็นผู้ให้ ได้สละสิ่งของเพื่อผู้อื่น ได้กำจัดความตระหนี่ออกจากจิตใจ ได้ทำโลภะให้บรรเทาเบาบางลง ในสัมปรายภพ ผลแห่งทานย่อมอำนวยศุภผลในส่วนของโภคะสมบัติให้
ความสุขที่เกิดจากการรักษาศีลบริสุทธิ์ ในปัจจุบันชาติ คือการได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่น ได้รับความเชื่อใจและการยกย่องชมเชยจากผู้อื่น ในสัมปรายภพ ผลแห่งศีลย่อมอำนวยศุภผลในด้านสุภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ความสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ ความเป็นผู้มีโรคภัยไข้เจ็บน้อย เป็นต้น
ความสุขที่เกิดจากการเจริญภาวนา ในปัจจุบันชาติ คือการได้กำจัดกิเลสให้บรรเทาเบาบางลง ความมีสภาวะจิตที่ผ่องใสปราศจากความมัวหมอง เป็นผู้ห่างไกลจากความทุกข์ทางจิตใจ หากยังไม่สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ในปัจจุบันชาติ ในสัมปรายภพย่อมเข้าถึงสุคติ ไม่ตกต่ำ ไม่ตกไปในที่ชั่ว และภาวนามัยที่สั่งสมมาย่อมเป็นปัจจัยเกื้อกูลแก่การบรรุมรรคผลนิพพานในภายภาคหน้าอีกด้วย
เรียกได้ว่า บุญ เป็นที่พึ่งให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย คือเป็นเหตุอำนวยสุขให้ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า สมดังพุทธศาสนสุภาษิตที่มาใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ว่า
ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ
บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกหน้า
การที่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะบุญ เมื่อเกิดมาแล้ว มีความสุขความเจริญ ก็เพราะบุญ มีทรัพย์สินเรือนชานบ้านช่อง ก็เพราะบุญ มีสติปัญญาดี ก็เพราะบุญ
สิ่งที่ดี ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ประสบในโลกมนุษย์นี้ ล้วนเป็นสิ่งที่บุญอำนวยให้ทั้งสิ้น คือบุญกุศลทั้งหลายที่เราได้บำเพ็ญมาในอดีตชาติ มาอำนวยศุภผลให้เราได้ประสบพบเจอกับความสุขความเจริญในภพนี้
เมื่อมีชีวิตอยู่ในชาตินี้ เรามีบุญที่ได้ทำไว้ในอดีตชาติเป็นที่พึ่ง คืออาศัยบุญเก่าที่ได้เคยสั่งสมไว้ในอดีตชาติคอยเกื้อหนุนให้มีความสุขความเจริญ
เปรียบเหมือนเราทำงานหาเงินมาได้จำนวนหนึ่ง เราย่อมสามารถใช้เงินนั้นได้ถึงอนาคต นานบ้างไม่นานบ้าง สุดแล้วแต่ว่าเงินนั้นมีจำนวนมากน้อยแค่ไหน แล้วเงินนั้นก็จะลดน้อยลงเรื่อย ๆ จนหมดไปในที่สุด แล้วเราก็ต้องหาใหม่ แต่ผู้ฉลาดจะไม่รอให้เงินหมดก่อนค่อยหาใหม่ แต่เขาจะหาเงินมาตุนไว้เรื่อย ๆ เพื่อใช้ในคราวจำเป็น
บุญก็เช่นกัน เราเกิดมาแล้วได้อาศัยบุญเก่าคอยเกื้อหนุนส่งเสริมให้ได้รับความสุขความเจริญ มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป สุดแท้แต่ว่าใครสร้างบุญเก่าไว้มากน้อยกว่ากัน แต่อย่างไรก็ตาม บุญนั้นจะหมดไปเรื่อย ๆ ดังนั้น เราต้องไม่ประมาทในการทำบุญ ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่ พึงสั่งสมบุญเอาไว้ให้มาก ๆ เพื่อเสริมบุญเก่าให้มีกำลังมากขึ้น เพื่อว่าบุญนั้น จะเป็นที่พึ่งของเราได้ในภพต่อ ๆ ไปอีก ตราบใดที่ยังไม่ถึงพระนิพพาน
สรุปความว่า บุญ เป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายได้ประสบพบเจอความสุขความเจริญ ผู้ใดทำบุญไว้มาก ผู้นั้นย่อมมีความสุขความเจริญมาก ส่วนผู้ใดทำบุญไว้น้อย ผู้นั้นก็ย่อมมีความสุขความเจริญน้อย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังของบุญที่แต่ละคนได้ทำไว้นั่นเอง เหตุนั้น เราทั้งหลายพึงหมั่นสั่งสมอบรมคุณงามความดี หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล เพื่อว่าบุญนั้น จะเป็นปัจจัยแห่งความสุขความเจริญ เป็นเหตุนำความสุขความเจริญมาแก่เราในภพนี้ และเป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่แก่เราในสัมปรายภพข้างหน้าด้วย สมดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ยกขึ้นเป็นนิกเขปบท ณ เบื้องต้นว่า
สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย
ความสั่งสมขึ้นซึ่งบุญ นำสุขมาให้
ซึ่งมีอรรถาธิบายดังได้บรรยายมาแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
