กระทู้ธรรม “อตฺตานุรกฺขี ภว มา อฑยฺหิ”

อตฺตานุรกฺขี ภว มา อฑยฺหิ
จงเป็นผู้ตามรักษาตนอย่าให้เดือดร้อน
บัดนี้ จักได้อธิบายขยายเนื้อความแห่งกระทู้ธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและประพฤติปฏิบัติ สำหรับผู้สนใจในทางธรรมเป็นลำดับสืบต่อไป
ธรรมดาคนที่มีศัตรูคู่อาฆาตคอยตามราวี ย่อมประสบกับความเดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา ต้องคอยหวาดหวั่นว่าศรัตรูคู่อาฆาตนั้นจะทำลายชีวิตตนเมื่อไหร่ ต้องคอยหลบหนี และคอยป้องกันไม่ให้ศรัตรูนั้นหาตัวเจอ
มนุษย์เรามีกิเลสตัณหาเป็นศัตรูตัวฉกาจ ที่คอยตามครอบงำและรุกรานจิตของเราอยู่ตลอดเวลา คอยสั่งการให้เราทำชั่วช้าสามานย์ตามอำนาจของมันอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเราถูกกิเลสตัณหาคอยตามราวีอยู่ตลอดเช่นนี้ ก็ย่อมจะประสบความเดือดเนื้อร้อนใจอยู่ไม่หยุด เราจึงจำเป็นที่จะต้องปกป้องตนเอง ป้องกันตนเอง รักษาตนเอง ไม่ให้ถูกกิเลสตัณหารุกรานอีกต่อไป
เราต้องตามรักษาตนเอง โดยการใช้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนามาเป็นเกราะป้องกัน ใช้สติ สัมปชัญญะมาเป็นเกราะป้องกัน ใช้หิริและโอตตัปปะมาเป็นโล่ห์ป้องกัน ไม่ให้เราเผลอทำบาปไปตามอำนาจสั่งการของกิเลสตัณหา
และใช้วิปัสสนากรรมฐาน มาเป็นอาวุธห้ำหั่นกิเลสตัณหา ให้ตายไปจากจิตจากใจของเราให้ได้ เมื่อใดเราประหารกิเลสตัณหาได้เด็ดขาด เมื่อนั้น เราก็จะเป็นไท เป็นอิสระ ไม่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหาอีกต่อไป เป็นอันว่า วิธีที่จะรักษาตนไม่ให้เดือดร้อนได้ ก็คือการคุ้มครองจิตไม่ให้ถูกกิเลสครอบงำ สมดังพุทธศาสนสุภาษิตที่มาใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวหํ
จิตที่คุ้มครองดีแล้ว นำสุขมาให้
จิตที่คุ้มครองดีแล้ว คือจิตที่ถูกรักษาคุ้มครองไว้ไม่ให้หวั่นไหวไปตามอารมณ์ของโลก ในเมื่อถูกอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นมากระทบ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่น่าปรารถนา หรืออารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาก็ตาม
เมื่อบุคคลมีจิตอันคุ้มครองดีแล้วดังที่กล่าวมา ตาเห็นรูปก็ไม่ยินดียินร้าย หูได้ยินเสียง ก็ไม่ยินดียินร้าย จมูกได้กลิ่น ก็ไม่ยินดียินร้าย ลิ้นได้ลิ้มรส ก็ไม่ยินดียินร้าย กายถูกต้องสัมผัส ก็ไม่ยินดียินร้าย ใจรับรู้ธรรมารมณ์ ก็ไม่ยินดียินร้าย
เมื่อคุ้มครองจิตของตนเองได้อย่างนี้ จิตย่อมจะเยือกเย็นเป็นสุข เพราะไม่ต้องซัดส่ายไปตามอารมณ์ของโลกที่ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอด
ดังนั้น พึงคุ้มครองจิตของตนให้ดีเถิด คุ้มครองจิตไม่ให้ถูกกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง เข้ายึดครองครอบงำ เปรียบเหมือนคุ้มครองร่างกายด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรค ไม้ให้ถูกโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายเบียดเบียน เมื่อจิตได้รับการคุ้มครองดีแล้ว จะนำสุขมาให้ อย่างแน่นอน
สรุปความว่า กิเลสตัณหาคือศรัตรูตัวฉกาจที่คอยตามราวีมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายให้ได้รับความทุกข์ร้อนอยู่ตลอดเวลา ทุกเพราะการเกิด ทุกข์เพราะการแก่ ทุกข์เพราะความเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์เพราะความตาย ความทุกข์ทั้งหมดทั้งปวงล้วนมีสาเหตุมาจากกิเลสตัณหาทั้งสิ้น หากต้องการพ้นจากทุกข์ประสบสุขอย่างแท้จริง เราต้องรักษาตนเองด้วยการคุ้มครองจิตไม่ให้ถูกกิเลสครอบงำ โดยใช้หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวช่วย หากคุ้มครองจิตให้พ้นจากอำนาจของกิเลสตัณหาได้แล้ว ย่อมประสบสุขอย่างหาประมาณมิได้อย่างแน่นอน สมดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ยกขึ้นเป็นนิกเขปบท ณ เบื้องต้นว่า
อตฺตานุรกฺขี ภว มา อฑยฺหิ
จงเป็นผู้ตามรักษาตนอย่าให้เดือดร้อน
ซึ่งมีอรรถาธิบายดังได้บรรยายมาแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
